หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 162

ช่วงเดือนกันยายนของเมือง A ปกติลมจะแรงอยู่แล้ว โดยเฉพาะริมแม่น้ำ

สายลมพัดหวิวหวู่ตรงนั้น ลู่จือสิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่ได้สอดเข้าไปในกางเกง เสื้อจึงปลิวไปตามสายลม

ไม่ได้เจอหน้ากันมาหนึ่งเดือนแล้ว ฉันรู้สึกว่าเขาดูผอมจนฉันแทบจะจำไม่ได้

ฉันเหนื่อยหอบจากการวิ่งไปตามถนนเมื่อสักครู่นี้จนวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงก้าวเดินต่อไปทีละก้าวๆ แต่พอได้มาเห็นเขายืนอยู่อย่างนั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะบังคับเท้าของตัวเองให้วิ่งต่อไป

ฉันหยุดวิ่งราวๆ สองเมตรกว่าๆ จากตัวลู่จือสิง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาทีละก้าวๆ

เขายืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่สังเกตเห็นฉัน

ในที่สุดก็เดินมาถึงด้านหลังของเขา ฉันยื่นมือไปโอบเอวเขาเอาไว้: “ลู่จือสิง”

เขาตัวแข็งทื่อขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงมือฉัน: “คุณมาที่นี่ได้อย่างไรครับ?”

ฉันไม่พูดอะไร เพียงแต่กอดมือเขาให้แน่นขึ้นอีกหน่อย

ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ตัวของเขาเย็นไปหมด

สายลมพัดเผ่านมา ตอนมาแรกๆ ฉันยังไม่ค่อยรู้สึก พอยืนนานๆ เข้าก็รู้สึกหนาวขึ้นมาแล้ว

แต่ดูท่าเขายังอยากยืนอยู่ตรงนั้น ฉันรู้ดีว่าภายในใจเขาคงทุกข์ทรมานมาก สิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้คือ ยืนอยู่เคียงข้างเขาเช่นนี้ต่อไป

“ลู่จือสิง เรากลับกันเถอะค่ะ”

ฉันรู้ถึงความทุกข์ของเขา แต่ลมที่นี่ช่างหนาวเหลือเกิน ฉันยืนเคียงข้างเขามาสิบกว่านาที ก่อนหน้านี้เขาก็ยืนมาครู่หนึ่งแล้ว หากยังยืนอยู่ต่อไป เขาคงจะรับไม่ไหวเช่นกัน

เดิมทีฉันนึกว่าเขาจะคัดค้าน แต่ไม่คิดว่าพอเขาหันหน้ามามองฉัน กลับไม่พูดอะไรจากนั้นก็พยักหน้าตอบ

เมื่อฉันได้มาเห็นท่าทางที่ดูห่อเหี่ยวของเขาแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจ

ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็จูงมือเขาก้าวเดินไป

ลู่จือสิงไม่พูดอะไรตลอดทาง ฉันพาเขาไปไหน เขาก็เดินไปที่นั่น

ทีแรกฉันคิดจะไปบ้านพักตากอากาศ แต่พอเอ่ยชื่อออกไป เขาก็เปิดปากพูดกลับมาทันทีว่า: “สวนดอกไม้อวี้จิ่ง”

ฉันผงะไปซักพัก นั่นคือที่ๆ เราสองคนเคยอยู่สมัยที่ยังแต่งงานกัน

ไหล่หนักไปข้างหนึ่ง พอฉันหันไปดู ก็พบศีรษะของลู่จือสิงกำลังพิงอยู่บนไหล่ของฉัน

เดิมทีอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบมาก แต่ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน เส้นสายบนใบหน้าก็ดูราวกับถูกตัดด้วยมีด เห็นแล้วก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้

ฉันสะอึกสะอื้นไปพักหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่จูงมือเขาแน่นๆ

ยืนอยู่ริมน้ำให้กระแสลมพัดนานขนาดนี้ พอกลับถึงคอนโดมีเนียมฉันก็ให้เขาอาบน้ำร้อนก่อน

ลู่จือสิงไม่พูดอะไร ฉันผลักเขาเข้าไปในห้องอาบน้ำ เขาก็เดินเข้าไปจริงๆ

พอผ่านไปไม่นาน ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้หยิบชุดให้เขา จึงย้อนกลับไปเอาชุด

อาศัยช่วงเวลาที่เขากำลังอาบน้ำ ฉันก็ต้มน้ำขิงเอาไว้ให้เขาหนึ่งชาม

แต่ก่อนลู่จือสิงเกลียดการดื่มของพวกนี้ที่สุด แต่เวลานี้เขากลับเงยหน้าแล้วดื่มลงไปจนหมด

พอมองเขาที่เป็นแบบนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

เวลาเช่นนี้ดูราวกับว่าถึงพูดอะไรออกไปก็คงไม่เกิดประโยชน์

คนตายแล้วไม่อาจฟื้น เรื่องผ่านไปไม่อาจย้อนกลับ

“ไปนอนพักซักหน่อยมั้ยคะ?”

ใต้ตาเขาคล้ำหนักมาก ฉันเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ

ลู่จือสิงมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ขยับตัวไปชั่วขณะ จากนั้นถึงเอ่ยปากขึ้นมา: “ซูยุ่น พอจะนอนเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ ผมไม่ได้นอนหลับฝันดีมานานมากแล้วครับ”

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแหบแห้ง การอ้อนวอนด้วยเสียงต่ำเช่นนี้ของเขามันทำให้ฉันยากที่จะปฏิเสธได้ ฉันจึงตอบรับไป

ฉันพยุงเขาขึ้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง: “คุณตัวร้อนหรือเปล่าครับ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ฉันก็อบอุ่นที่หัวใจ จากนั้นก็ส่ายศีรษะ: “ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันป้อนคุณค่ะ”

พูดเสร็จ ฉันก็ยกโจ๊กขึ้นมาป้อนเขาทีละคำๆ

เวลานี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว ภายในห้องมีเพียงฉันและลู่จือสิง เราสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมากันเลย แต่ฉันกลับรู้สึกถึงความสุขสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการป่วยหรือเพราะเรื่องของลู่เว่ยกั๋ว ลู่จือสิงถึงให้ความร่วมมือดีมาก หลังจากทานโจ๊กเสร็จแล้ว ฉันก็ปล่อยให้เขาพักผ่อนอยู่สักพัก จากนั้นก็ยกน้ำอุ่นส่งให้เขา: “ทานยาเถอะค่ะ ทานยาเสร็จแล้วค่อยนอนนะคะ”

เขายื่นมือออกมารับ แล้วเงยหน้าทานยาเข้าไป

ฉันรับแก้วน้ำกลับมา หลังจากที่ช่วยจัดผ้านวมให้เขาดีๆ แล้วก็ลุกไปอาบน้ำ

ฉันจัดการธุระของตัวเองเสร็จก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว จากนั้นจึงโทรหาชวี่ชิงหนานคุยกันคร่าวๆ และคุยกับเป้ยเปยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะวางสายไป

เมื่อเดินกลับไปที่ห้อง ฉันก็ได้ยินเสียงลู่จือสิงกำลังร้องเรียกฉัน

ฉันคิดว่าเขาจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ จึงรีบวิ่งไปหา: “เป็นอะไรไปหรือคะ?”

ด้วยกลัวว่าแสงจะแยงตาเขา ฉันจึงปิดไฟทุกดวง เปิดไว้แค่หลอดไฟกลางคืนเพียงดวงเดียวเท่านั้น

เมื่อกี้ตอนที่ฉันยืนอยู่ตรงประตู เหมือนจะได้ยินเสียงลู่จือสิงกำลังพูด แต่ยังมองเห็นไม่ชัดว่าเขาตื่นแล้วหรือยัง

ตอนนี้เดินมาที่ข้างเตียงแล้ว ฉันถึงพบว่าเขายังหลับตาอยู่ เสียงเมื่อกี้เห็นได้ชัดว่ากำลังละเมอ

ฉันเอามือมาแตะตรงบริเวณหน้าผากก็พบว่าไข้ลดลงแล้ว จึงคลายความกังวลในใจลงมาได้

ขณะที่กำลังจะถอนมือ มือของเขาก็มาจับเอาไว้ ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงเขาเรียกฉัน: “ซูยุ่น อย่าไป!”

ฉันผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มมามองดูเขาแล้วจึงพบว่าดวงตาทั้งสองยังปิดสนิท เห็นได้ว่าเขายังนอนละเมออยู่

ฉันรู้สึกจุกที่ลำคอ หัวใจของฉันราวกับแช่อยู่กับอะไรบางอย่าง ไม่นานนักก็ได้ยินเขาพูดว่า: “ผมรักคุณ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้