ไม่ใช่ว่าลู่จือสิงไม่เคยพูดสามคำนี้มาก่อน เมื่อก่อนเขาเคยพูดอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ฉันกลับรู้สึกว่าเทียบไม่ได้กับครั้งนี้เลย
กลางวันคิดไม่ตก กลางคืนกลับเอาไปฝัน เขากำลังหลับอยู่ แต่คำพูดที่เขาละเมอออกมากลับเหนี่ยวรั้งฉันเอาไว้โดยไม่คาดคิด
ฉันนั่งอยู่ข้างเตียง น้ำตาไหลพรากออกมา
ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ระทม
ฉันนั่งอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงจึงคิดที่จะดึงมือของตัวเองกลับมา แต่กลัวจะทำให้เขาตื่น จึงขยับอย่างเบาๆ
โชคดีที่ครั้งนี้เขาหลับสนิทไปจริงๆ หลังจากดึงมือออกมาได้แล้วฉันก็รีบไปอาบน้ำ
ฉันลืมชุดไว้ที่บริษัท ทีแรกคิดจะไปดึงชุดของลู่จือสิงจากในตู้เสื้อผ้ามาใส่ แต่กลับเจอชุดของตัวเองสมัยก่อนอยู่ในนั้นด้วย
ฉันอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันกลับไปมองลู่จือสิงที่อยู่ไม่ไกล ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็มีความรู้สึกประดังประเดเข้ามามากมาย
อาบน้ำเสร็จออกมาก็เก้าโมงกว่าแล้ว ยังเช้าอยู่ แต่ฉันวิ่งวุ่นมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อยมาก
ไข้ของลู่จือสิงลดลงแล้ว ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ช่วยเขาห่มผ้าห่ม แล้วเดินเข้าห้องรับแขกไป
คอนโดแห่งนี้มีคนปัดกวาดอยู่ตลอด ห้องรับแขกจึงสะอาดสะอ้าน ส่วนปลอกหมอนและผ้าห่มที่ซักสะอาดแล้วจะวางอยู่ในตู้เสื้อผ้า
หลังจากหยิบจับอะไรเสร็จแล้วฉันก็ง่วงจนทนไม่ไหว จึงดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วนอนหลับไป
คืนนี้ฉันฝันเยอะมาก ฝันถึงเรื่องราวระหว่างฉันกับลู่จือสิงในอดีตทั้งหมด
มีดีบ้างแย่บ้าง
ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่าของอีกวันหนึ่งเข้าไปแล้ว
ฉันหลับไปสิบชั่วโมงเชียวหรือ เหลือเชื่อจริงๆ เลย
คิดขึ้นมาได้ว่าลู่จือสิงยังมีไข้อยู่ ฉันจึงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป ตั้งใจจะไปดูว่าเขาตื่นแล้วหรือยัง
ไม่คิดเลยว่าพอเดินออกมาจะเห็นลู่จือสิงกำลังนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา ตัวเขาใส่ชุดนอนอยู่ ฉันผงะไปซักพักแล้วก็รีบเดินเข้าไปหา: “ทำไมคุณมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะคะ?”
แน่นอนว่ามือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ
พอฉันพูดจบ จู่ๆ เขาก็กอดเอวฉันเอาไว้: “ผมนึกว่าคุณไปเสียแล้ว”
ฉันจุกที่ลำคอไปซักพัก จากนั้นก็เก็บอารมณ์แล้วตีเขาไปที: “เปล่านะคะ ฉันอยู่ในห้องรับแขกค่ะ”
“ซูยุ่น”
เขาเปิดปากเรียกฉัน น้ำเสียงทุ้มต่ำมาก ฉันฟังแล้วรู้สึกปวดใจเหลือทน
ฉันอ้าปากส่งเสียงออกมาว่า: “อืม”
“สองสามวันนี้คุณอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งการวิงวอน ฉันจะปฏิเสธลงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นที่ฉันมาในครั้งนี้ ก็เพื่อจะอยู่เป็นเพื่อนเขา
“สองสามวันนี้ฉันจะไม่ไปไหนค่ะ คุณจะต้องดูแลตัวเองดีๆ นะคะ”
ลู่เว่ยกั๋วก็จากไปแล้ว บ้านสกุลลู่เวลานี้ก็เหลือแต่คนที่จ้องลู่จือสิงราวกับเสือตะคลุบเหยื่อเพียงเท่านั้น
ครึ่งปีก่อนฉันได้ยินว่าญาติฝ่ายรองของบ้านสกุลลู่ได้มาก่อกวนครั้งหนึ่ง แม้ชวี่ชิงหนานจะไม่ได้เล่าให้ฉันฟังละเอียดนัก แต่ฉันก็พอจะเดาออก ถึงขนาดทำให้ลู่จือสิงกระดิกตัวไปไหนไปได้ จะต้องเป็นศึกที่เลวร้ายอยู่ทีเดียว
ครั้งที่แล้วตอนที่คุณปู่ของลู่จือสิงจากไปก็วุ่นวายไปที ตอนนั้นฉันเห็นเหตุการณ์กับตาตัวเองเลย
น่ารังเกียจขนาดไหนก็ยังทำกันได้
ฉันเอามือแตะหน้าผากเขา ไข้กลับขึ้นอีกมาแล้ว ฉันตกใจ: “คุณรีบใส่เสื้ออีกตัวก่อนค่อยไปอาบน้ำนะคะ ตอนนี้คุณไข้ขึ้นมาอีกแล้วค่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน น่าจะเป็นเพราะพักผ่อนมาคืนหนึ่งแล้ว สีหน้าจึงดีกว่าเมื่อวาน
“คุณจะจากไปหรือเปล่าครับ?”
เขาดึงมือฉัน ไม่ยอมขยับตัวไปไหน
บางครั้งลู่จือสิงก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ อยู่บ้าง ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ไปไหน สองสามวันมานี้จะอยู่เป็นเพื่อนเขา เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อ
“ฉันไปอาบน้ำและทำอาหารก่อนนะคะ และจะไม่ไปไหนแน่ๆ ค่ะ”
เขาเม้มริมฝีปาก มองฉันอยู่พักหนึ่งถึงยอมลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับห้องไป
ลู่จือสิงออกกำลังกายเป็นประจำ จึงทำให้ไข้มาเร็วไปเร็ว
สองสามวันมานี้ฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนเขา ตอนนี้อารมณ์เขาก็สงบลงมาบ้างแล้ว
“เพื่อนของคุณ?”
เขาขมวดคิ้ว
ในเวลานี้ไม่เหมาะที่ฉันจะเล่าเรื่องของฉันกับชวี่ชิงหนานให้เขาฟัง และไม่เหมาะที่จะบอกให้รู้ว่าเป้ยเปยอยู่ที่ชวี่ชิงหนานด้วย
ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าซีดๆ: “อืม”
เขาไม่ได้ถามอะไรต่ออย่างหาได้ยาก ฉันก้มศีรษะลอบถอนหายใจ
ไม่รู้ทำไมแต่ฉันยังไม่อยากให้เขารู้ความสัมพันธ์จริงๆ ของฉันกับชวี่ชิงหนานเป็นการชั่วคราว
อันที่จริงความสัมพันธ์ของฉันกับชวี่ชิงหนานไม่มีใครรู้นอกจากฉีซิ่วหราน
เมื่อบอกลู่จือสิงแล้ว คืนนี้ฉันก็เลยบอกชวี่ชิงหนานเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วย
วันต่อมาชวี่ชิงหนานให้ฟางหลินอุ้มเป้ยเปยมาหา ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะยากนักที่เป้ยเปยจะยอมให้ฟางหลินอุ้ม: “เลขาฟาง ขอบคุณคุณด้วยนะคะ”
“คุณซูเกรงใจไปแล้วครับ”
เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก จากนั้นฉันก็พาเป้ยเปยกลับเข้าไปในคอนโด
ลู่จือสิงกลับมาจากที่ทำงานเร็วกว่ากำหนด ฉันกับเป้ยเปยกำลังเล่นกันอยู่บนโซฟา พอเห็นเขากลับมา ฉันก็ผงะไปซักพัก ช่วงเวลานั้นในห้วงคำนึงของฉันก็เกิดเป็นภาพครอบครัวเราสามคนที่ไม่เคยแยกจากกันมาก่อน
“เป้ยเปย คิดถึงพ่อหรือเปล่าครับ?”
เสียงของลู่จือสิงทำให้สติกลับคืนมา ฉันเผลอยิ้มออกมา เป้ยเปยเห็นสองมือของลู่จือสิงก็ไม่แยแสอันใด
ฉันปล่อยให้พวกเขาสองคนพ่อลูกเล่นกัน จากนั้นก็เข้าห้องครัวไปทำมื้อเย็น
ตอนลู่เว่ยกั๋วยังมีชีวิตอยู่จัดว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่องอยู่ ในวันฝังศพจึงมีคนมาร่วมงานกันเยอะ
หาได้ยากที่เป้ยเปยจะเป็นเด็กดี ฉันจูงมือเขาไว้ เขาไม่พูดอะไรออกมาเลยตลอดทาง
ขั้นตอนทั้งหมดไม่สั้นหรือยาวเกินไป อากาศในวันนี้ก็ไม่เลว แต่อารมณ์ของคนจะให้ดีไปด้วยก็คงเป็นไปไม่ได้
หลังจากที่ผู้คนกลับไปกันหมดแล้ว ก็เหลือเพียงลู่จือสิงและจงฮุ่ยหราน ฉันมองไปที่
ลู่จือสิงก็เห็นเขาหันกลับมาอุ้มเป้ยเปยแล้ว “กลับเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้