คืนนี้ลู่จือสิงท่าจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เขาอุ้มฉันทำตั้งแต่ห้องรับแขกไปจนมาถึงในห้องนอน
ตอนที่ถูกเขากดอยู่บนเตียงนอนก็เพิ่งทำไปแล้วรอบหนึ่ง เขากดเข้ามาจากนั้นก็เพิ่มความเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้น ปากยังพูดแต่คำที่ไม่น่ายกโทษให้ออกมา: “คิดถึงผมบ้างมั้ย หือ?”
ฉันรู้สึกชาไปทั้งตัว สติเหมือนจะล่องลอยไปกับสายลมที่ว่างเปล่า
“หือ? พูดซิว่าคิดถึงผม รีบพูดมา!”
เขายืนกรานจะให้ฉันพูดให้ได้ จากนั้นก็เพิ่มแรงกระแทกให้รุนแรงมากขึ้น ฉันถูกกระตุ้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา จึงกอดเขาแล้วร้องขอความเมตตา: “คิดถึงซิคะ คุณช้าหน่อย——อืม ช้าลงหน่อยค่ะ!”
“เด็กดี!”
พูดเสร็จเขาก็ก้มศีรษะปิดกั้นทุกคำพูดของฉันไปจนหมด
“อืม——”
ชั่วพริบตาเดียว ก็ไม่มีอะไรอยู่ในสมองของฉันเลย เหลือไว้แค่เพียงความว่างเปล่า
หลังจากที่ได้พักอย่างหาได้ยาก ขณะที่ฉันยังหายใจหอบอยู่ เขาก็พลิกตัวฉัน……
วันต่อมา ฉันตื่นขึ้นมาก็ปวดเมื่อยและอ่อนปวกเปียกไปตลอดทั้งตัว
ฉันขยับตัวก็พบว่าลู่จือสิงยังอยู่ข้างตัวฉัน เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ฉันร้องเรียกเขาอย่างไรเขาก็ไม่สนใจไยดี ฉันจึงตีเขาไปทีหนึ่งด้วยความโมโห อดไม่ได้ที่จะถีบเขาอีกด้วย: “ทำไมคุณ——คุณจะทำอะไรคะ!”
ฉันถีบเขาไม่สำเร็จ เพราะเขายกขามากดขาฉันเอาไว้
เมื่อคืนฉันโทรบอกป้าฝานว่าต่อไปไม่ต้องมาแล้ว ส่วนเรื่องเงินเดือนจะโอนเข้าบัญชีของเธอเอง
อ้างอิงจากนาฬิกาชีวิต เวลานี้จึงยังเช้าอยู่
ฉันเหนื่อยไปตลอดทั้งตัว อีกทั้งไม่ต้องไปทำงานแล้ว เวลานี้จึงยังไม่อยากตื่นนอน
ลู่จือสิงโน้มตัวลงมาจูบฉัน ฉันรีบเอามือขวางเอาไว้: “คุณอย่าแตะต้องฉันนะคะ!”
“ผมจะจูบ!”
“ไม่ได้!”
เมื่อคืนฉันยังอ่อนแออยู่ แต่ตอนนี้จะไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้ร่างกายฉันเด็ดขาด
ฉันไม่ได้โง่เสียหน่อย ผู้ชายจะมีความต้องการในเรื่องอย่างว่ามากขึ้นในตอนเช้า ถ้าจูบนิดจูบหน่อยแล้วยุ่งขึ้นมา ฉันจะทำอย่างไร?
“อ้า——จะทำอะไรคะ!”
พอฉันพูดจบ เขาก็ดึงทั้งฉันทั้งผ้าห่มเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของเขาจากนั้นก็ก้มลงจูบ
โชคดีที่เขาแค่จูบฉันเฉยๆ ไม่ได้ทำสิ่งอื่นแต่อย่างใด
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็หรี่ตาอยากจะนอนต่อ
“ยังเช้าอยู่เลย คุณนอนต่ออีกหน่อยแล้วกันครับ”
ฉันร้อง ฮึ ขึ้นมาจากนั้นก็หลับไปจริงๆ
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเป้ยเปย และเสียงของลู่จือสิง จึงผงะไปสักพัก แล้วหยิบนาฬิกาปลุกที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาดู สิบโมงกว่าแล้ว
ฉันไม่ได้นอนมากอย่างนี้มานานแล้ว ต้องโทษนายลู่จือสิง!”
“คุณแม่ครับ!”
พออาบน้ำออกมา เป้ยเปยก็วิ่งเข้ามาหาฉัน
ลู่จือสิงยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มให้ฉัน: “ผมไปทำอาหารก่อนนะครับ คุณอยู่เล่นกับเป้ยเปยสักครู่แล้วกัน”
ฉันเลิกคิ้ว ไม่ได้ห้ามอะไรเขา
เดี๋ยวนี้ลู่จือสิงเหมือนจะชอบทำอาหารมากเป็นพิเศษ เขามากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เป็นคนทำให้ทานตลอด
แต่ก็ไม่ควรตามใจผู้ชายจนเคยชิน ในเมื่อเขาชอบทำอาหารก็ให้เขาทำไป อีกหน่อยจะได้ไม่ต้องอะไรๆ ก็ให้ฉันเป็นคนทำ ตัวเองไม่ทำอะไรเลย
อีกหน่อย……
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าคำๆ นี้ออกจะยาวไกลไปสักหน่อย จึงก้มศีรษะลงมาจูบเป้ยเปยทีหนึ่ง แล้วพาไปเล่นที่ด้านข้าง
ลู่จือสิงทำกับข้าวสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง ฝีมือในการทำอาหารไม่เลวเลยทีเดียว
พอทานอาหารเสร็จ ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากฉีซิ่วหราน
ช่วงนี้ฉีซิ่วหรานงานยุ่งมากเป็นพิเศษ หลังจากที่เขาไปเมือง S เราก็โทรคุยกันเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น เมื่อเดือนที่แล้วเขากลับมาครั้งหนึ่ง อยู่ได้แค่สองวันแล้วก็ต้องกลับไป
หายากที่เขาจะโทรมา ฉันรีบอุ้มเป้ยเปยไปไว้ในอ้อมกอดของลู่จือสิง: “ฉันรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ”
ลู่จือสิงยื่นมือมารับเป้ยเปย แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า: “ใครโทรมาครับ?”
“เมื่อกี้ใครโทรมาครับ?”
ผู้ชายขี้ระแวงคนนี้ ฉันกรอกตาแล้วก็พูดออกไปโดยไม่ปิดบัง: “เป็นฉีซิ่วหรานค่ะ”
“ฉีซิ่วหราน ทำไมคุณยังติดต่อกับเขาอยู่อีก เขาไม่ได้ย้ายไปเมือง S แล้วหรือ?”
“ทำไมฉันจะติดต่อกับเขาไม่ได้คะ เขาเป็นเพื่อนของฉันนะคะ!”
“เพื่อนอะไรกัน เห็นชัดๆ ว่ามีเจตนาที่ไม่ดี!”
คำพูดของลู่จือสิงทำให้ฉันไม่สบายใจ ฉันผลักเขาอย่างแรง แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา: “เขามีเจตนาที่ไม่ดี แต่เขาก็เป็นสุภาพบุรุษนะคะ ลู่จือสิง!”
“ซูยุ่น คุณหมายความว่าเขาดีกว่าผมใช่มั้ย? งั้นทำไมคุณไม่เลือกเขาล่ะ?”
คำพูดของเขาทำให้ฉันโมโหมากจริงๆ: “ฉันทำไมจะ——อื้อ!”
“ผมไม่อนุญาตให้คุณพูด ซูยุ่น คุณอย่าพูดคำที่บาดใจคนแบบนั้นออกมา ผมเจ็บตรงนี้!”
เขากอดฉันแน่น แล้วดึงมือฉันมากดตรงหน้าอกของเขา
เพียงชั่วพริบตา อารมณ์ฉุนเฉียวทั้งหมดของฉันก็ราวกับมลายหายสิ้นไป
ฉันเม้มริมฝีปากอยู่พักหนึ่งถึงจะพูดออกมาว่า: “ฉันกับฉีซิ่วหรานไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะคะ”
“ผมรู้ แต่ผมแคร์คุณเท่านั้น”
ยากนักที่เขาจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าฉันร้อนผ่าวในทันที
ฉันรู้ว่าเขาใส่ใจเรื่องของฉีซิ่วหรานและฉันเป็นอย่างมาก แต่ระหว่างฉันกับเขาไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็เอ่ยปากพูดต่อ: “ตอนที่ฉันเพิ่งมาถึงเมือง D ในช่วงแรกก็ยังผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนั้นฉันก็ตั้งท้องเป้ยเปย ท้องโตขึ้นๆ ทุกเดือน ช่วงนั้นฉันออกจะลำบากอยู่บ้าง แต่ที่ฉันยังจำได้ก็คือ วันนั้นฉันล้มลงไปบนพื้นหิมะ เวลานั้นไม่มีใครอยู่ตรงปากทางเข้าซุปเปอร์มาร์เกตเลยซักคน ถ้าไม่ได้ซิ่วหรานมาช่วยเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าฉันและเป้ยเปยจะมีโอกาสได้มาพบคุณอีกครั้งหรือไม่”
“ซูยุ่น——”
“คุณฟังฉันพูดให้จบก่อน”
“คุณพูดครับ!”
ฉันหันไปมองเขาจากนั้นจึงพูดต่อ: “ต่อมาเขาก็ช่วยฉันอยู่หลายเรื่องมาก ตอนฉันคลอดเป้ยเปย จริงๆ แล้วฉันกลัวมาก ตื่นตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกไปซะหมด แต่ทั้งหมดนี้เป็นเขาที่คอยช่วยฉันเอาไว้……ลู่จือสิง ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฉีซิ่วหราน เขาไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนธรรมดาๆ เท่านั้น สำหรับฉันเขาเป็นดั่งพี่ชายคนหนึ่งเลยค่ะ”
“ขอโทษครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้