เนื่องจากผมของเขายังชื้นอยู่เพราะเพิ่งสระผมมา พอเขากอดฉันแล้วโน้มศีรษะลงมาแบบนี้ น้ำที่เกาะอยู่บนเส้นผมจึงมากระทบใบหน้าของฉันจนรู้สึกเย็นเยียบ ฉันพยายามผละหนีทว่าเขากลับกอดฉันไว้แน่นขึ้น
ผมสั้นๆ ของเขาทิ่มเข้าที่หน้าของฉัน ทำให้ฉันอึดอัดจนทนไม่ไหวเลยเรียกชื่อเขาไป “ลู่จือสิง!”
เขาทำเสียงฮึมฮัมแต่ยังไม่ยอมปล่อยฉัน
“ซูยุ่น”
เขาโน้มศีรษะลงมาแนบชิดที่ข้างหูแล้วเรียกชื่อฉันด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า
ไม่รู้ทำไมหัวใจของฉันถึงได้อ่อนปวกเปียกราวกับช็อกโกแลตที่กำลังถูกหลอมละลายด้วยความร้อน
“หือ?”
ฉันส่งเสียงถามเขาเบาๆ โดยไม่พยายามดิ้นหนีอีกแล้ว
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ"
เพียงแค่ได้ยินประโยคสั้นๆ นี้ ขอบตาของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ลู่จือสิงประทับจูบลงมา ฉันกะพริบตาปริบๆ และพบว่าตัวเองกำลังร้องไห้
“ซูยุ่น”
เขาเรียกชื่อฉันอีกครั้งขณะที่ปล่อยมือจากฉัน จากนั้นจึงจับฉันให้หันไปเผชิญหน้ากับเขาแล้วโน้มศีรษะลงมาจูบฉัน
“ลู่จือสิง...”
จูบของเขาค่อนข้างเร่งร้อนและรุนแรงราวกับกำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง
ฉันรู้สึกว่าทั่วทั้งตัวเริ่มร้อนผะผ่าวและกอดเขาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาโน้มตัวลงมาอุ้มฉันขึ้นไป
พอรู้ตัวอีกทีเขาก็อุ้มฉันมาวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
ลู่จือสิงยกมือขึ้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกและโน้มศีรษะลงมาจูบฉันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จูบของเขาเป็นเหมือนดั่งไฟที่เมื่อสัมผัสลงมาบนร่างกายของฉัน ก็พลันทำให้รู้สึกร้อนผะผ่าวราวกับกำลังถูกแผดเผา
ภายใต้ร่างกายของฉันคือเตียงที่ฉันเคยนอนมาตลอดหนึ่งปี ด้านบนคือผู้ชายที่ฉันรัก... ในชั่วพริบตาที่เขาเคลื่อนไหวเข้ามา ฉันก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตลอดคืนนั้นทั้งฉันและลู่จือสิงต่างไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจโดยสิ้นเชิง มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเราทำกันไปกี่ครั้งกันแน่ จนกระทั่งเราทั้งคู่หมดเรี่ยวแรง เขาจึงโอบกอดฉันไว้แล้วหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นฉันตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน แค่เมื่อวานทั้งวันก็เหนื่อยอยู่แล้ว แถมเมื่อคืนนี้ยังต้องสู้รบกับลู่จือสิงอยู่เป็นนาน พอลืมตาขึ้นมาจึงไม่แปลกที่ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองยังนอนไม่พอ
ผ้าม่านที่ถูกดึงปิดสนิททำให้มองเห็นได้เพียงลางๆ เนื่องจากแสงส่องไม่ถึง พอขยับตัว มือที่วางอยู่ที่เอวของฉันก็กระชับแน่นขึ้น ฉันยังไม่ทันพูดอะไร เสียงของลู่จือสิงก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกหน่อยเถอะนะ”
ฉันเองก็เหนื่อย แต่แค่ตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน พอเขาพูดอย่างนั้นจึงหลับตาลงแล้วนอนต่อ
ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเก้าโมงกว่าๆ เพราะรู้สึกคันยุบยิบที่ใบหน้า พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป้ยเปยกำลังอุ้มกระต่ายขนปุกปุยพลางเรียกฉัน “มาม่า มาม่า”
“เป้ยเปย เรียกหม่าม้ามาทานอาหารเช้าสิ”
เมื่อได้ยินเสียงของลู่จือสิงฉันจึงโงหัวขึ้นมา แล้วก็พบว่าเขากำลังยืนกอดอกอยู่ข้างประตูพลางมองฉันแล้วหัวเราะ
เป้ยเปยดึงมือฉัน “มาม่า กินข้าว”
ฉันหัวเราะออกมาแล้วโน้มศีรษะลงไปจูบเป้ยเปยหนึ่งที “จ้ะ แม่ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน เดี๋ยวรีบตามไปนะจ๊ะ”
ลู่จือสิงอยู่บ้านเป็นเพื่อนฉันกับเป้ยเปยมาสองวันก็ต้องกลับไปทำงานต่อ ฉันรู้ว่าช่วงที่ผ่านมาเขาเสียเวลาทำงานมามากพอสมควรแล้ว จึงรีบตื่นแต่เช้ามาทำอาหารให้เขากินก่อนไปทำงาน
ถึงแม้จะเพิ่งลาออกแต่ฉันก็ยังอยากทำงานอยู่ ทว่าช่วงนี้ฉันยังคิดอะไรมากนัก ตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลเป้ยเปยก่อนสักระยะหนึ่งค่อยออกไปยื่นใบสมัครเพื่อหางาน
ฉันเล่าแผนการของตัวเองให้ลู่จือสิงฟังระหว่างรับประทานอาหารเช้า แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงัก “คุณไม่อยากอยู่ดูแลเป้ยเปยที่บ้านหรือ”
ฉันรู้ว่าเขากำลังเข้าใจความหมายของฉันผิด จึงรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากอยู่ดูแลเป้ยเปยที่บ้าน หลังเลิกงานหรือวันหยุดฉันก็ยังพอมีเวลา ฉันแค่ไม่อยากละทิ้งการงาน ฉันไม่อยากกลายเป็นแม่บ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”
“คุณไปทำงานที่เฟิงเหิงก็ได้”
ฉันส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว ฉันอยากหางานด้วยตัวเอง”
ลู่จือสิงเงียบลงทันที และฉันรู้ว่าเขากำลังคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ฉันโทรกลับไปอีกครั้งแต่ว่าเขาไม่รับสาย
ฉันมองโทรศัพท์ในมือแล้วรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะโกรธมากมายเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
แต่มันก็เป็นความผิดของฉันที่ไม่พูดให้ชัดเจน
ไม่เมื่อเขาไม่กลับมา ฉันจึงกินข้าวเย็นกับเป้ยเปยเพียงสองคน
ฉันกล่อมเป้ยเปยเข้านอนไปตอนสามทุ่มกว่าๆ ทว่าลู่จือสิงก็ยังไม่กลับ จนฉันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลุกไปอาบน้ำ
ทันทีที่ฉันอาบน้ำเสร็จออกมา จึงพบว่าลู่จือสิงกลับมาแล้ว
แม้จะอยู่ห่างกันหลายเมตร แต่ฉันก็ยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาจากตัวเขา
“ทำไมคุณถึงดื่มหนักขนาดนี้”
พอเห็นเขาเดินโซเซฉันจึงก้าวเข้าไปช่วยพยุง
เขาเงยหน้ามองฉัน ไม่รู้ว่าทำไมภายในดวงตาสีเข้มคู่นั้นจึงดูมีแววของความเสียใจอยู่
ฉันนิ่งงันไปชั่วขณะ “ลู่จือสิง... เมื่อเช้าฉัน...”
“ขอโทษนะ ซูยุ่น”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ เขาก็เข้ามากอดฉัน
ฉันชะงักไปนิดหนึ่ง กำลังจะอธิบายเรื่องเมื่อเช้า แต่เขากลับพลั่งพรูคำพูดขึ้นมาก่อนว่า “ผมขอโทษ ผมรู้ว่าเมื่อสามปีก่อนผมมันเลว... ผมขอโทษ ผมติดหนี้คำขอโทษคุณมาตลอด ขอโทษนะ ซูยุ่น... คุณกลับมาแล้ว คุณอย่าไปไหนอีกนะ ตกลงไหม”
เขาเอ่ยอย่างเว้าวอนขณะก้มลงมองฉันด้วยนัยน์ตาสีเข้มที่เปล่งประกายระยิบระยับ
“ฉัน... อุ๊ย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้