ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะทำอะไรแบบนี้ อยู่ๆ เขาจูบฉันอย่างกะทันหัน ยิ่งเมาแรงของเขาก็ยิ่งมากและยิ่งคาดเดาการกระทำไม่ได้
นอกจากฉันจะผลักเขาออกไม่สำเร็จ ฉันยังถูกเขาดันไปสองสามก้าวจนถอยไปติดโซฟา จากนั้นลู่จือสิงกดฉันลงไปบนโซฟานั้น
กลิ่นเบียร์ที่โชยมาจากตัวของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะเมาขึ้นมานิดๆ
“ลู่จือสิง...”
ฉันยังอยากจะคุยเรื่องเมื่อเช้ากับเขาให้รู้เรื่อง ทว่าเขาได้จัดการเขี่ยชุดนอนของฉันออกไปแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็โน้มใบหน้าลงมาแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าอกของฉันจนฉันไม่ทันตั้งตัว
ฉันทนไม่ไหวจึงส่งเสียงร้องออกมา “อื้อ...”
“ซูซู”
ไม่รู้ว่าลู่จือสิงไปเอาชื่อเล่นนี้มาจากไหน เขาโน้มศีรษะลงมาแนบหูของฉันแล้วเรียกด้วยเสียงต่ำพร่าจนร่างกายของฉันอ่อนยวบ ตอนแรกฉันยกมือขืนขวางตั้งใจจะหยุดเขา แต่ตอนนี้กลับกลายว่าฉันยกมือขึ้นกอดเขาไว้แทนอย่างอดใจไม่อยู่
เฮ้อ... ผู้หญิงนี่ช่างหูเบาจริงๆ
ฉันไม่รู้ว่าลู่จือสิงเมาจริงๆ หรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงช่วยเขาจัดการทำความสะอาดอีกแล้ว
วันต่อมาเมื่อฉันตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองอยู่ในชุดนอนชุดใหม่เป็นที่เรียบร้อย กลิ่นเบียร์ที่ตัวของลู่จือสิงก็ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมของเจลอาบน้ำ
เมื่อคืนเขาคงลุกไปอาบน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้เมา
ฉันค่อยๆ ขยับขาออก แต่ไม่คิดว่าจะยังหนักแรงอยู่
ทันทีที่ขยับ มือของลู่จือสิงที่ทาบอยู่บนเอวก็รั้งฉันเข้าไปอย่างแรง จนตัวของฉันถูกดึงไปซุกไว้แนบอกของเขา
ในเดือนพฤศจิกายนอากาศในเมือง A เริ่มหนาวแล้ว ภายในห้องไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อนไว้ ทว่าร่างกายที่อุบอุ่นเหมือนเตาผิงของลู่จือสิงทำให้ฉันไม่ขยับไปไหนและปล่อยให้เขากอดไว้อย่างนั้น
“ซูซู”
เวลาที่เขาเรียกฉันด้วยชื่อเล่นมันดูราวกับว่าเขากำลังออดอ้อน ตลอดคืนนั้นไรหนวดของเขาเริ่มยาวขึ้นมา คางของเขาซุกอยู่ที่หลังของฉัน ทำให้ไรหนวดเหล่านั้นทิ่มจนฉันรู้สึกชายิบๆ ที่หลัง จนอดขยับตัวไม่ได้ “อย่าเอาหนวดตำฉัน”
“อืม”
เขาตอบฉันเบาๆ แต่ไม่หยุดการกระทำ
ฉันรู้ว่าเขาจงใจจึงยกเท้าขึ้นเตะเขา “ลู่จือสิง!”
ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อย “ซูซู”
“หืม”
ฉันตอบรับเบาๆ ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พอเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้วจึงรีบผลักเขาเบาๆ “คุณรีบลุกได้แล้ว ไม่ต้องเข้าบริษัทหรือ”
“เช้านี้ไม่มีธุระอะไร”
ฉันรู้สึกขัน “คุณเป็นอย่างนี้ พนักงานในบริษัทเขาจะมองคุณยังไง”
“คนอื่นจะมองยังไงผมไม่สน ผมสนแต่คุณเท่านั้น”
ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะพูดคำหวานเก่งขึ้นขนาดนี้
เมื่อนึกถึงหัวข้อสนทนาที่ถูกเขาขัดจังหวะเมื่อคืนขึ้นมาได้ ฉันจึงตัดสินใจว่าจะพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน “ตอนเช้าเมื่อวานที่ฉันบอกว่าจะไม่ไปทำงานที่เฟิงเหิง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิคุณนะ สารภาพตรงๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น ยังคงติดอยู่ในใจฉัน แต่ว่าเมื่อวานตอนเย็นคุณก็ขอโทษฉันแล้ว และฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
เมื่อเห็นเขาเงียบฉันจึงหยุดนิดหนึ่งก่อนจะตีเขาเบาๆ “คุณฟังอยู่หรือเปล่า?”
“อื้ม”
พอได้ยินเขาตอบรับฉันก็พูดต่อไปว่า “แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันจะเลวร้ายมาก แต่ฉันก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง ลู่จือสิง... ที่ฉันออกไปทำงานไม่ใช่แค่เพื่อจะทำงานเฉยๆ... ฉันเรียนจบการตลาด ฉันเลือกการวางแผนการตลาดเพราะว่าฉันชอบ งานนี้ทำให้ฉันตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง... แม้ฉันจะรู้ว่าคุณดูแลฉันได้อย่างแน่นอนไม่ว่าฉันจะผลาญเงินคุณเก่งแค่ไหน แต่ว่าฉันออกไปทำงานเพราะฉันหวังว่าชีวิตของฉันจะมีอะไรมากกว่าครอบครัว ฉันหวังว่าฉันจะมีงานทำ หวังว่าชีวิตของฉันจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้”
ฉันเม้มริมฝีปาก หันหลังกลับไปแล้วเงยหน้ามองเขาตรงๆ “ที่ฉันพูดมาทั้งหมด คุณเข้าใจไหม”
“ผมเข้าใจ ซูยุ่น แต่ผมยังติดหนี้คำขอโทษคุณอย่างจริงจัง”
เขาพูดแล้วหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะโน้มศีรษะลงมาจูบฉันแล้วพูดว่า “ผมขอโทษนะ”
พอรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ยอมเข้าบริษัท จึงเร่งให้เขาออกไปโดยไม่รอให้เขามีโอกาสได้พัก
ทันทีที่เขาก้าวออกไป ชวี่ชิงหนานก็โทรศัพท์เข้ามา
ฉันบอกเขาไปแล้วว่าฉันจะกลับมาที่นี่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาตอนไหน
ก่อนหน้านี้ชวี่ชิงหนานไปต่างประเทศเพื่อเจรจาโครงการบางอย่างและเพิ่งกลับถึงจีนเมื่อวานนี้ เมื่อวานฉันทักทายที่เขากลับมาและคุยเรื่องเป้ยเปยกับเขา แต่ลืมบอกไปว่าฉันกลับมาแล้ว
“ซูยุ่น”
“ฉันเองค่ะพี่”
เขายิ้ม “คุณกลับเมือง A แล้วหรือ”
ฉันรู้สึกอายเล็กน้อย “เพิ่งกลับมาวันสองวันนี้เองค่ะ เมื่อเย็นวานฉันลืมบอก”
เขาหัวเราะนิดหนึ่ง “ผมแค่จะบอกว่าผมกดกริ่งประตูอยู่นานมาก แต่ไม่มีใครอยู่เลย ตอนแรกกะว่าจะมาเยี่ยมเป้ยเปย ไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะกลับไปที่เมือง A แล้ว”
ฉันแปลกใจเล็กน้อย: "คุณไปที่เมือง D ทำไมคะ"
“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า พรุ่งนี้มีนัดประชุม ทันทีที่ลงจากเครื่องบินผมกะว่าจะแวะพักที่บ้านคุณสักแป๊บหนึ่ง แต่คุณก็กลับเมือง A ไปแล้ว”
ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อย “ฉันลืมบอกคุณเสียสนิท”
“ไม่เป็นไร คุณไปทำธุระต่อเถอะ เดี๋ยวผมจะไปนอนพักที่โรงแรมสักหน่อย”
ฉันคิดว่าชวี่ชิงหนานคงกำลังเหนื่อยและอ่อนเพลียจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ทันทีที่วางสายฉันก็พบว่าลู่จือสิงกลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ เขามองฉันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “คุณคุยโทรศัพท์กับใครหรือ?”
ฉันชะงักและนิ่งงันไป ก่อนจะบอกไปตามตรงว่า “ชวี่ชิงหนานน่ะ เขาไปที่เมือง D เพราะอยากเจอเป้ยเปย แต่ว่าฉันกลับมาที่นี่ก่อน... ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ คุณถึงกลับมาล่ะ?”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของเขาก็ทมึงถึงขึ้นอย่างฉับพลัน “คุณสนิทกับชวี่ชิงหนานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้