ความนึกคิดพลันถูกเขาพาหวนกลับไปถึงเมื่อคืนวานอย่างฉับพลัน ณิชาฉุกคิดถึงด้านที่ตนเองปล่อยเนื้อปล่อยตัว จนใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เธอแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินชัดเจน แต่ชายหนุ่มก็จ้องหน้าเธออย่างเร่าร้อนอีกครั้ง...
“ไม่พูดหน่อยเหรอ?” เวธัสสำรวจลักษณะท่าทางของเธอ แถมยังลากเสียงยาว
“……” การที่เธอไม่ยอมพูดยอมจาคือการไม่อยากจะเอ่ยถึง แล้วทำไมเขาถึงได้หน้าด้านได้ขนาดนี้เนี่ย?
“เปล่านี่!” ใบหูณิชาแดงแจ๋ จนตัดสินใจพูดโพล่งคำนี้ออกมาจากปากทันที
“ทั้งๆ ที่บอกว่าเปล่า เมื่อเช้าตอนลงจากรถ ทำไมขาคุณสั่นเลยล่ะ?” เวธัสพอใจที่ได้เห็นอาการหวั่นวิตกของเธอในเวลานี้ จึงหยอกล้อเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ พลันก้มหลังเล็กน้อย จนริมฝีปากบางมุ่งหน้าแนบชิดริมฝีปากของเธอ
กลิ่นครีมโกนหนวดอันคุ้นเคยของชายหนุ่มพุ่งเข้ามา ณิชาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ด้านหลังเป็นโต๊ะทำงาน จนไร้หนทางหนีทีไล่แล้ว ทำได้แต่แอ่นหน้าขึ้น
ร่างกายอันเธอยืดหยุ่นได้ดีมาก พลันมีส่วนโค้งครึ่งวง มือทั้งสองข้างดันแผงอกของเขา
“เท้าฉันลื่นแล้วเห็นมั้ย! คุณรีบถอยออกไปเร็ว ที่นี่มันเป็นออฟฟิศนะ มีกล้องวงจรปิด หรือว่าคุณอยากจะให้คนทั้งโลกรู้ว่าเราทำอะไรกันในห้องทำงานงั้นเหรอคะ...”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ณิชาเกิดความรู้สึกตึงเครียดและถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“อีกเดี๋ยวระบบตรวจสอบความปลอดภัยจะเตรียมอัปเดตระบบปฏิบัติการ กล้องวงจรปิดจะถูกปิดก่อนเวลาอยู่แล้ว” ร่างกายสูงใหญ่ของเวธัสแนบชิดด้านบนร่างกายแอ่นโค้งของเธอ นิ้วมือเรียวยาวเชิดปลายคางของเธอขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อคืนนี้คุณเด็ดมาก จนผมอดใจไม่ไหว แต่ครั้งหน้าผมจะทำเบาๆ หน่อย เพื่อให้คุณจะได้สบายตัวไปด้วย หืม?”
เสียงกึกก้องฉับพลัน ปลายนิ้วของเขาราวกับเปลวไฟ ตั้งแต่เขาเริ่มสัมผัสปลายคาง ร่างกายของณิชาก็เริ่มแผดเผาแล้ว...
พลันเกิดความรู้สึกคลุมเครือที่ไม่ชัดเจนแบบนี้ รสชาติที่ติดค้างหลังจากเกิดเรื่องนั้น มันทำให้ณิชาตัวสั่นสะท้าน
ราวกับกระแสไฟฟ้าไหลพาดผ่าน...
เวธัสเชิดปลายคางของเธอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวลงเรื่อยๆ ...
ณิชามีอาการตื่นเต้นกลับการมองใบหน้าหล่อเหล่าที่เริ่มขยายใหญ่ทางด้านหน้าขึ้นเรื่อย แพขนตาอันสวยงามทั้งสองข้างสั่นไม่หยุดหย่อน กำปั้นที่ดันแผงอกของเขาค่อยๆ ผ่อนแรงลง จนเปลี่ยนเป็นการคว้าดึงเสื้อเชิ้ตตรงแผงอกของเขาแทน ถัดจากนั้นเธอหลับตาลง จังหวะที่จูบของเขาใกล้จะสัมผัสลงมานั้น...
ฟุบ!
ทั่วทั้งบริษัทตกอยู่ในความมืดมิดทันที
มีแสงจากนอกหน้าต่างเล็ดลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย ณิชาตั้งสติได้ทันที พลันผลักเขาออกทันควัน “ออฟฟิศเป็นสถานที่ทำงาน คุณในฐานะประธานบริษัทก็ต้องจริงจังกว่านี้สักหน่อยนะคะ”
เวธัสโดนเธอผลักออกในทันที ทางด้านหลังมีเก้าอี้สำนักงานอยู่หนึ่งตัว เขาไม่ได้ป้องกันตัว จึงชนเข้ากับเก้าอี้ตัวนั้นทันที พลันส่งเสียงในลำคอทันที
เก้าอี้ล้มลงกระแทกกับพื้น จนมีเสียงดังปัง ซึ่งดังชัดเป็นพิเศษ
บรรยากาศอันแสนอบอวลไปด้วยความอ่อนโยนและงดงามพลันมลายหายไปในพริบตา พลันมีออร่าความชั่วร้ายของชายหนุ่มเข้ามาแทนที่
ไม่ว่าจะเป็นค่ำคืนที่มืดมิดก็ตาม เธอเองก็สามารถจินตนาการใบหน้าที่ย่ำแย่ของเขาในเวลานี้ได้
“คุณเวธัส คุณยังโอเคใช่มั้ยคะ?” ณิชาคลำหาอยู่ในความมืดมิด เพื่อต้องการจะประคองเขาขึ้นมา
โดยที่ไม่รู้ว่าโดนชนจนได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?
บรรยากาศเงียบงันอยู่สักพัก จากนั้นก็มีเสียงประโยคยาวๆ ที่สื่อความหมายของเวธัสออกมาประโยคหนึ่ง “คุณมาลองดูก็จะรู้ว่าผมยังโอเคอยู่มั้ย”
ณิชาเองก็ไม่รู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงเธอเป็นคนขัดจังหวะการรุกล้ำที่มากเกินของเขา หรือว่าการผลักเขาจนกระเด็นชนเก้าอี้กันแน่
เธอค่อยๆ ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋า โดยการใช้แสงไฟอ่อนๆ จากโทรศัพท์ส่ายไปมา เวธัสยืนอยู่ในตำแหน่งที่ระยะห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร และกำลังเหล่ตามองเธออย่างเย็นเฉียบ ดวงตาคู่แหลมคมคู่นั้นราวกับดวงตาพญาอินทรี ที่ใช้ความมืดมิดในยามราตรี ในการตะครุบเหยื่อ
ณิชาถูกมองจนหัวใจบีบรัดแน่น จนทนรอที่จะเปลี่ยนหัวข้อเรื่องไม่ไหว
“เมื่อกี้คุณพูดว่าจะมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยของตึกหรือคะ? ที่ไฟดับเป็นเพราะว่าเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ?”
หัวคิ้วโก่งของเวธัสเลิกขึ้นและผ่อนลง และเลิกขึ้นตามเดิม
แถมยังดึงเนกไทที่ผูกอย่างเป็นทางการให้เบนออกเล็กน้อย แสดงท่าทางหงุดหงิด จนไม่เหมือนคุณชายที่แสนสูงศักดิ์และสง่างามคนนั้นตามปกติสักนิด
“ฝ่ายธุรการน่าจะมีการแจ้งให้ทุกแผนกได้ทราบแล้ว คุณไม่ได้รับแจ้งเหรอไง?”
เมื่อณิชาได้ยินจิตใจหม่นหมองลงเล็กน้อย
วันนี้ตอนมาถึงบริษัท แม้จะไม่ถือว่าเช้ามากนัก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าสายอย่างแน่นอน
“กอดผมก็ไม่หนาวแล้วครับ”
ณิชาแหงนหน้ามองเขาเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงอาการตกใจอยู่บ้าง
เธอไม่ได้พูดว่าหนาวนี่น่า แต่เขากลับหยิบยื่นเสื้อคลุมให้เธอในเวลาที่เธอต้องการมากที่สุด เพื่อให้ความอบอุ่นแก่เธอ
เธอเองก็ไม่ได้พูดออกมาว่ากลัวความมืด แต่เขากลับกอดเธอเอาไว้ท่ามกลางความมืดมิดเพื่อให้เธอได้ที่พึ่งพิง
จนเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้ตัว...
หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ถูกเอาใจใส่มานานเกินควรแล้วเหรอ?
“จี้หยกเมื่อเช้านี้คุณยังใส่ติดตัวอยู่มั้ยคะ?” จู่ๆ เธอก็กระซิบถาม ความจริงเธอก็ไม่ค่อยกลัวความมมืดสักเท่าไหร่ แต่เธอกลัวผี อีกทั้งกลัวมากจนขี้หดตดหายเลยทีเดียว
เวธัสส่งเสียงพึมพำเป็นการตอบรับเล็กน้อย
“ขอฉันใส่...ได้มั้ยคะ เล่ากันว่ามันสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้”
“……” เวธัสไม่ได้ตอบรับทันที และเงียบงันเล็กน้อย
ณิชานึกว่าเขากลัวว่าเธอจะทำให้มันแตกหัก พลันกระซิบพูดต่อ “คุณวางใจได้เลยค่ะ ฉันจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีไม่มีวันทำให้มันเสียหายแน่ รอพรุ่งนี้ก็จะคืนให้คุณ ฉันมักรู้สึกว่าตอนที่เดินไปปิดหน้าต่างนั้นมันมีลมพัดลมเพเข้ามาเป็นระยะ คุณไม่รู้สึกว่าเสียวสันหลังบ้างหรือคะ? แบบว่ามีความรู้สึกเหมือนมีคนมีเป่ารดต้นคอของคุณประมาณนั้นอะ?”
“…งมงาย” เวธัสคอมเม้นท์อย่างเย็นชาทันที แต่กลับหยิบจี้หยกชิ้นนั้นที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเล็กๆ ที่แอบติดตัวเอาไว้ออกมา
เขานำจี้หยกส่งให้ถึงมือณิชา ฝ่ามือใหญ่เกาะกุมนิ้วมือทั้งห้าอันเรียวยาวของเธอ
“เก็บรักษาไว้ดีๆนะ ถ้าทำหายคุณชดใช้ไม่ไหวนะครับ”
ณิชายิ้มเยาะให้เขา “ก็อีแค่จี้หยกขาวชิ้นเดียวเองนี่คะ”
พละกำลังของเวธัสที่โอบเอวของเธอเอาไว้รัดแน่นขึ้นทันที
ณิชา อย่าทรยศต่อความคาดหวังที่ผมมีต่อคุณ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊
ตอน571-670หายไปไหนคะ ต้องทำไงถึงจะอ่านตอนที่ขาดไปได้...