ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 326

ช่วงประมาณห้าโมงเย็น เย่เทียนที่กลับมารออยู่ที่บ้านของตระกูลซูนานหลายชั่วโมงก็ได้รับสายจากเหลียงเหวินเห้าอีกครั้ง

“เสี่ยวเย่ ฉันมาถึงจ๊กกลางแล้ว เธออยู่ไหน? เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อนแล้วจะไปรับเธอ”

เหลียงเหวินเห้าแสดงออกถึงความหมายของสำนวนที่ว่าสายฟ้าและพายุที่โหมกระหน่ำได้อย่างชัดเจนมาก พูดจาไม่มีความเกรงใจเลย

“ไหนบอกว่ากลางคืนไม่ใช่เหรอครับ? ต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

คิ้วของเย่เทียนขมวดเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้

“เฮ้อ การพนันนั่นจะเริ่มอย่างเป็นทางการตอนหนึ่งทุ่ม จากตรงนี้ไปที่เมืองนั่นก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า”

เหลียงเหวินเห้ายิ้มออกมาด้วยความตกใจ “พอเราไปถึงแล้วกินข้าวเสร็จ คาดว่าก็น่าจะถึงเวลาพอดี”

“โรงแรมที่คุณจองไว้อยู่ที่ไหนครับ? เราไปเจอกันตรงโรงแรมที่คุณพักก็ได้ครับ!”

หลังจากที่วางสาย เย่เทียนก็ไปพูดกับซูเหมย บอกว่าคืนนี้จะออกไปกินข้าวกับเพื่อน จากนั้นก็ขับรถไปยังโรงแรม

ซูเหมยอยากรู้ว่าเย่เทียนไปมีเพื่อนในจ๊กกลางตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้กาลเทศะดี ทำให้เย่เทียนไม่ต้องมาไล่อธิบาย

เขามาเจอกับเหลียงเหวินเห้าที่หน้าโรงแรมได้สำเร็จ หลังจากที่เอาสัมภาระไปเก็บแล้ว คนกลุ่มนี้ก็มุ่งไปยังเมืองที่จะมีการพนันหยก

เหลียงเหวินเห้าไม่มีทางมาที่นี่คนเดียวอยู่แล้ว เมื่อตัดบอดี้การ์ดร่างใหญ่สองคนที่ใส่สูทออกไปแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดไว้เคราอีกคนตามมาด้วย

ระหว่างทางที่ยังไม่ถึงเมือง เหลียงเหวินเห้าก็ได้แนะนำคร่าวๆ ชายวัยกลางคนนั้นแซ่หยิว ชื่อฉี เขาคือปรมาจารย์พนันหินที่ถูกเชิญมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

นั่นจึงทำให้เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองหยิวฉีไปหลายที หลังจากที่ได้พบปะกับเหลียงเหวินเห้าไปหลายครั้ง เย่เทียนกรู้แล้วว่าคนๆนี้ค่อนข้างตาถึง ไม่ใช่ว่าใครก็จะเข้าตาเขาได้

ตอนนี้การที่เหลียงเหวินเห้าให้ความสำคัญกับหยิวฉีถึงขนาดนี้ คิดว่าก็น่าจะมีความสามารถระดับหนึ่งเลย

นอกเหนือจากนั้น เหลียงเหวินเห้าก็ได้อธิบายคร่าวๆ ว่าทำไมเมืองที่เล็กแบบนี้ถึงมีการจัดการพนันหินขึ้นได้

หมูบ้านนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างใกล้กับเหมืองหยก ก่อนที่ข่าวของเหมืองหยกจะแพร่งพรายออกไป คนในพื้นที่มากมายก็ฉวยโอกาสแอบเก็บหินหยาบออกไปไม่น้อยเลย

ถึงแม้ตอนนี้เหมืองหยกจะถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุมแล้ว แต่พวกหินหยาบพวกนี้ก็ไม่มีใครบังคับให้เอาไปคืน

ผู้นำของเมืองนั่นก็เป็นคนที่ฉลาด พอเห็นแต่ละคนต่างก็เก็บหินหยาบออกมาได้มากมายจึงถือโอกาสจัดงานพนันหินขึ้นมา

หนึ่งคือสามารถทำให้ทุกคนยอมเอาหินหยาบที่อยู่ในมือออกมา ส่วนอีกเหตุผลก็เพื่อเพิ่มGDPให้กับเมือง แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำล่ะ?

เย่เทียนที่ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะชู้นิ้วโป้งให้ผู้นำเมืองคนนี้ในใจเลย ด้วยสติปัญญาระดับนี้ แล้วต้องมาอยู่แบบนี้มันช่างเสียของจริงๆ ถ้าออกไปทำธุรกิจ อย่าางน้อยก็น่าจะหาเงินได้ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่นอน

นอกจากนั้น เย่เทียนก็เข้าใจว่าทำไมเหลียงเหวินเห้าถึงต้องเร่งรีบที่จะไปให้ทันงานพนันหินนั่นให้จงได้

การที่เขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อพนันหิน แต่ต้องการที่จะถือโอกาสนี้กักตุนหินหยาบไว้ประมาณหนึ่ง รอให้ผ่านไปสักพักค่อยปล่อยของออก และหากำไรจากส่วนต่างตรงนั้น

ในภาวะเงินเฟ้อแบบนี้ ราคาทองพุ่งสูง ของจำพวกหินหยก หยกเขียวก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวตามทองคำด้วยเหมือนกัน

ถ้าพนันไปเลยมันจะเสี่ยงเกินไป มันไม่เหมาะกับคนที่ทำงานอย่างมีหลักการแบบเหลียงเหวินเห้าเลย แต่ถ้าปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป มันก็ไม่ใช่ทางของนักธุรกิจที่ตามล่าผลประโยชน์เหมือนกัน

“คุณอาเหลียง แล้วคุณอาเตรียมเงินสำหรับงานในคืนนี้ไว้เท่าไหร่เหรอครับ?”

หลังจากที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว เย่เทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเหลียงเหวินเห้าด้วยความอยากรู้

“ทำไม? เสี่ยวเย่ก็อยากตุนของไว้เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ของพวกนี้ทุนมันค่อนข้างหนัก ถ้าราคามันไม่ดี ก็อาจจะพังคามือไปเลยก็ได้”

เหลียงเหวินห้ามองเย่เทียนด้วยสายตาที่ค่อนข้างประหลาด แล้วพูดเตือยนด้วยความหวังดี

คนอื่นอาจจะไม่รู้ประวัติของเย่เทียน แต่คนที่มาจากเจียงหนันอย่างเขาจะไม่รู้ได้ยังไง?

มันไม่ได้เงียบสงบเหมือนอย่างเคย สองข้างทางของเมืองในตอนนี้ได้มีรถมากมายจอดเต็มไปหมด ทุกที่ถูกประดับไปด้วยไฟ คึกคักเหมือนช่วงปีใหม่เลย

ด้วยความที่เบียดเสียดกันเกินไป พวกเย่เทียนจึงไม่สามารถขับรถเข้าไปได้ สุดท้ายก็ไปเอารถไปจอดตรงนอกเมือง

ยังดีที่มันเป็นแค่เมืองเล็กๆ ถ้าอยู่ในเมืองละก็ อย่างน้อยก็ต้องโดนหักสักสองคะแนน

ตอนนี้มันก็หกโมงสี่สิบห้าแล้ว เหลียงเหวินเห้าก็ลากเย่เทียนเข้าไปจัดการเรื่องท้องไส้ในร้านอาหารตามสั่งอย่างไม่รีบร้อน

พอกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีเสียงที่ตื่นอกตื่นใจดังขึ้น ประกาศว่าการจัดงานพนันหินครั้งแรกของเมืองคังหลินได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว จากนั้นก็เป็นการร่ายยาวผู้นำของเมือง

เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเหลียงเหวินเห้าอย่างลึกซึ้งไปทีหนึ่ง ถึงว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมให้เข้าไปก่อน คงเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ช่างเป็นจิ้งจกเฒ่าที่มากประสบการณ์จริง!

ใช้เวลากินข้าวมื้อหนึ่งไปกว่าครึ่งชั่วโมง ตอนแรกเย่เทียนคิดว่าคงจะเสร็จแล้ว แต่ที่ไหนได้ เหลียงเหวินเห้ากลับยังนั่งแคะฟันอย่างสบายใจเฉิบ

“คุณอาเหลียง ข้าวก็กินอิ่มแล้ว ผู้นำของเมืองนั่นก็บ่นจบแล้ว ทำไมเรายังไม่เข้าไปอีกเหรอครับ?”

มันทำให้เย่เทียนถึงกับขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะพูดเร่ง

“ไม่ต้องรีบ”

เหลียงเหวินเห้ามองเย่เทียนทีหนึ่ง แล้วพูดไปยิ้มไปว่า “ฉันนัดเจอกับพันธมิตรคนนั้นที่นี่ ตอนนี้ก็น่าจะถึงแล้ว เดี๋ยวจะแนะนำให้เธอรู้จักก่อน”

พอเย่เทียนได้ยินอย่างนั้น ก็จำต้องกดความตื่นเต้นในใจไว้ ตอนที่มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าร้านมานั้น เหลียงเหวินเห้าก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

ตัดมาที่เย่เทียน พอเห็นคนที่เป็นหัวหน้าว่าเป็นใคร สีหน้าก็ดูประหลาดขึ้นมาทันที

ไม่ใช่อะไร เพราะคนที่เป็นหัวหน้าไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลี่เฟิงนั่นเอง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่