ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 890

สองวันแรกหลังจากที่การแข่งคัดเลือกเริ่มต้นขึ้น เย่เทียนที่มีประสบการณ์แล้วจะมาที่งานประมาณสองสามชั่วโมงในตอนที่มีแข่งเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น เวลาส่วนมากก็จะพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมเวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็มาถึงวันที่สามของการแข่งคัดเลือกแล้ว ระหว่างที่การแข่งขันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ผู้เข้าแข่งขันก็เหลือแค่สามสิบสองคนแล้ว

พอถึงตอนนี้ สังเวียนที่ตอนแรกมีหก ตอนนี้ก็ลดเหลือแค่สองเท่านั้น คนใหญ่คนโตที่เข้ามาดูก็มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ตอนที่เย่เทียนเดินขึ้นเวที ก็ได้รู้ว่าคู่ต่อสู้ในวันนี้เป็นคนที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งก็คือเหยียนเฟิงแห่งสำนักเหลียนหัวนั่นเอง!

มันจึงทำให้เย่เทียนแอบยิ้มในใจ เดิมทีการที่คู่ต่อสู้ลดลงเรื่อยๆ มันก็ทำให้เย่เทียนกังวลอยู่บ้างว่าอาจต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องผลแพ้ชนะ ถ้าแค่เจ็บหนักนิดหน่อย มันก็จะส่งผลต่อการแข่งในรอบต่อไปทันทีเพราะคนที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้จะมีใครที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปอีก?

แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สวรรค์ก็ยังเมตตาเขาที่ส่งเหยียนเฟิงมาเป็นคู่ต่อสู้ เหยียนเฟิงที่เคยถูกเขาตบหน้าอย่างแรง แล้วจะไม่ให้เย่เทียนแอบยิ้มได้ยังไง?

“แก?!”

เย่เทียนดีใจที่คู่ต่อสู้เป็นเหยียนเฟิง แล้วทำไม่เหยียนเฟิงจะไม่ดีใจล่ะที่คู่ต่อสู้เป็นเย่เทียน เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจว่า “ดูท่าสวรรค์จะดีกับฉันมากเลย ความอับอายที่แกให้ฉันในวันนั้น วันนี้ฉันจะคืนมันให้แกต่อหน้าทุกคนเอง!”

“เหมือนฉันจะจำได้ว่าคุณคือเหยียนเฟิงของสำนักเหลียนหัวอะไรสักอย่างใช่มั้ย? ไม่ใช่ว่าผมดูถูกคุณหรอกนะ แต่คุณไม่มีปัญญาจัดการผมได้หรอก”

เย่เทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วจงใจแสดงท่าทางที่ดูถูกออกมา “แต่ว่า ผมมันเป็นคนที่ค่อนข้างใจกว้าง เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ให้โอกาสคุณ ผมจะต่อให้คุณสามกระบวนท่า!”

“แกดูถูกคนให้มันน้อยๆ หน่อย!”

เหยียนเฟิงที่เคียดแค้นเย่เทียนเป็นทุกเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก เขาเคยถูกคนดูถูกขนาดนี้ตอนไหน?

เย่เทียนกลับโบกไม้โบกมืออย่างเกียจคร้าน แล้วพูดเร่งไปว่า “พอแล้ว คนมากมายขนาดนี้เขาไม่ได้มาดูเราโต้วาทีกันนะ ช่วยรีบๆ หน่อย สู้เสร็จผมยังธุระต้องไปทำอีก!”

“ตายซะเถอะแก!”

พอถูกเย่เทียนกวนประสาทไปหลายครั้ง เหยียนเฟิงจะไปทนไหวได้ยังไง ขยับขาแล้วดีดตัวออกไปทันที จากนั้นก็ซัดหมัดที่รุนแรงไปทางเย่เทียน

แต่ทว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหยียนเฟิงที่มาพร้อมกับเสียงคำราม เย่เทียนกลับไม่แม้แต่จะขยับ ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่สีหน้าที่ดูถูกก็ยังไม่หายไป

การกระทำของเย่เทียน มันยิ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์ของเหยียนเฟิง เขาจึงเพิ่งแรงในมือเข้าไปอีก เพื่อจะล้มเย่เทียนให้ได้ในหมัดเดียว

“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”

จนในตอนที่หมัดของเหยียนเฟิงจะถึงตัวเย่เทียน เย่เทียนถึงได้เคลื่อนไหว ขยับขาขวาไปด้านนอกเล็กน้อย

เหยียนเฟิงยิ้มออกมาอย่างดุร้าย ตอนนี้หมัดของเขาอยู่ห่างจากหน้าของเย่เทียนเพียงห้านิ้วเท่านั้น ต่อให้เย่เทียนจะขยับแล้ว แต่เขาก็มั่นใจว่าจะชกโดนเย่เทียนอย่างแน่นอน!

พริบตาเดียว หมัดของเหยียนเฟิงก็ชกไปที่หน้าของเย่เทียน แต่ภาพในหัวของทุกคนที่เย่เทียนกระเด็นออกไปกลับไม่ได้เกิดขึ้น แต่เป็นเหยียนเฟิงที่ทะลุผ่านร่างของเย่เทียนไปตรงๆ เขาที่เก็บแรงไม่ทันก็โซเซไปข้างหน้าจนเกือบล้มลงกับพื้น

“ภาพซ้อน?!”

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ชมด้านล่างถึงกับตะลึง พวกเขาไม่เห็นเย่เทียนขยับเลย ไม่รู้เลยว่าเย่เทียนหลบออกไปได้ยังไง

ไม่ใช่แค่ผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง แม้แต่เหยียนเฟิงที่อยู่บนเวทีเหมือนกันก็ยังทำตัวไม่ถูก รีบหันกลับไปมองภาพซ้อนที่ค่อยๆ หายไป ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังตั้งสติไม่ได้

พอเห็นเหยียนเฟิงที่กำลังตะลึง เจี่ยซือหวี่ที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างล่างก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดเหยียดหยามไปว่า “คนพันธุ์นั้นยังคิดจะเอาชนะเย่เทียน เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีหวังหรอก”

“มีความมั่นใจมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็ต้องมีขอบเขตบ้าง ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นผลเสียกับตัวเอง สักวันจะเดือดร้อนเอาได้!”

แต่น่าเสียดาย วูสิงไม่ได้รับฟังคำพูดเหล่านี้เลย และได้พูดด้วยความรำคาญว่า “อาจารย์อาครับ อย่าเอาแต่พูดเรื่องนี้กับผมได้มั้ยครับ? ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร!”

ชายหัวล้านเงียบไป และไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่แอบส่ายหน้าอย่างเงียบๆ แล้วกลับไปสนใจบนสังเวียนอีกครั้ง

แต่ในอีกมุมหนึ่งบนเวที ที่แห่งนี้เป็นจุดรวมตัวของสำนักชางหลง ลูกศิษย์ของสำนักชางหลงทุกคนเหน็บกระบี่ไว้ที่เอว ดูแข็งแกร่งมาก ในระยะสามเมตรไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เลย

คนที่เป็นผู้นำคือชายชราผมขาวคนหนึ่ง เขาเป็นเหมือนกระบี่แหลมคมที่อยู่นอกฝัก ออร่าเป็นประกาย ทำให้ไม่มีใครกล้าสบตากับเขาตรงๆ

ส่วนเขานั้น ซึ่งเขาก็คือผู้ดูแลคนปัจจุบันของสำนักชางหลง!

ผู้อาวุโสซุนพูดเตือนไปว่า “ผู้ดูแลครับ เย่เทียนที่สู้กับเหยียนเฟิงบนสังเวียนที่สองก็คือชายหนุ่มที่ผมเคยพูดถึงครับ”

“จริงเหรอ?”

ฟ่านเฟิงเป่าพยักหน้า แล้วหันไปถามฟ่านจวิ้นซิงที่อยู่อีกฟากว่า “ลูกชาย แกมีความเห็นยังไง?”

ฟ่านจวิ้นซิงส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ขมขื่น “พ่อครับ เขาเร็วเกินไป ผมแค่สามารถมองเห็นได้รางๆ ถ้าต้องเจอกับเขาจริงๆ ผมไม่มั่นใจว่าจะแทงเขาโดนมั้ย”

ฟ่านเฟิงเป่าพยักหน้า แล้วตัดพ้อว่า “การคัดเลือกในปีนี้ช่างมีคนเก่งแฝงตัวอยู่เยอะจริงๆ ลูกชาย การที่เกิดมาในยุคสมัยนี้ ไม่รู้จะบอกว่าแกโชคดี? หรือโชคร้ายดี….”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่