หลังจากที่กรรมการประกาศเริ่มการแข่งขัน หวู่ทิงก็ชักกระบี่เล่มยาวออกมาจนเกิดเสียงดัง แล้วมองเย่เทียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ศิษย์พี่ท่านนี้ เชิญเอาอาวุธออกมาได้เลย!”
เย่เทียนโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าแล้วพูดไปว่า “ผมไม่ใช้อาวุธครับ”
แต่ทันทีที่เย่เทียนพูดจบ หวู่ทิงก็ขยับขา แล้วดีดตัวมาทางเย่เทียนอย่างรวดเร็ว กระบี่ในมือเล็งมาที่หน้าของเย่เทียน
เย่เทียนนึกไม่ถึงว่าหวู่ทิงที่สุภาพเรียบร้อยเมื่อกี้จะมาไม้นี้ แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ดีดนิ้วมือขวา มือที่เคยว่างเปล่าจู่ๆ ก็มีเหรียญปรากฏออกมาเหรียญหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ตุบ!
การโจมตีครั้งนี้ของเย่เทียนเร็วมาก บวกกับการที่เข้าใจไปก่อนว่าเย่เทียนไม่มีอาวุธ จึงถูกเหรียญดีดใส่ที่ขาอย่างจังทำให้สเต็ปขาเกิดรวนอย่างช่วยไม่ได้
ไม่รอให้เขาได้ทันตั้งตัว เขาก็ได้รู้ว่าเย่เทียนที่เคยอยู่ตรงหน้า บัดนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว และได้อุทานขึ้นมาในใจว่าแย่แล้ว
แต่เย่เทียนจะไปเปิดโอกาสให้เขาได้ยังไง ขยับมาอยู่ด้านหลังของหวู่ทิงราวกับวิญญาณ แล้วถีบไปที่ก้นของเขา
เมื่อได้รับผลกระทบจากพลังงานนี้ หวู่ทิงที่โซเซอยู่ก่อนแล้วจะไปทรงตัวอยู่ได้ยังไง ทำให้เขาพุ่งลงไปใต้เวที กลิ้งอยู่บนพื้นไปหลายตลบ
นั่นก็ทำให้ผู้ชมที่อยู่ใต้เวทีต่างพากันตะลึง พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในความคิดของพวกเขา หวู่ทิงที่พุ่งเข้าหาเย่เทียนสะดุดขาตัวเอง เย่เทียนจึงใช้โอกาสนี้ถีบไปที่ก้นของเขา
“สังเวียนที่ห้าคู่ที่สี่ ผู้ชนะ เย่เทียน!”
และกรรมการก็เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ จึงได้ประกาศผลออกมาทันที
ตอนนี้หวู่ทิงก็ได้ลุกขึ้นจากพื้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไร แต่ดูสะบักสะบอมไปหน่อย
เขามองเย่เทียนบนสังเวียนด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ยิ้มเยาะตัวเอง ทำมือคารวะแล้วพูดไปว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ออมมือให้”
ถึงเย่เทียนจะทำการลอบกัดไปบ้าง แต่ตอนที่เขากระโจนเข้าไปมันก็ไม่ต่างกันจริงมั้ย?
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตอนสุดท้ายเย่เทียนไม่ใช้การถีบ แต่เป็นการหวังเอาชีวิต ต่อให้ไม่ตายเขาก็คงเจ็บหนักไปแล้ว!
เย่เทียนได้ยิ้มออกมากระโดดลงจากสังเวียนแล้วหายเข้าไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว ในใจก็พูดว่าสมแล้วที่เป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ ถ้าเป็นคนที่ใจแคบกว่านี้หน่อย ไม่แน่อาจจะเรียกร้องให้แข่งใหม่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เย่เทียนไปเจอเจี่ยซือหวี่ตรงสังเวียนที่สอง ก็ได้รู้ว่า จิ่วเจี้ยก็มาแล้ว
ส่วนจิงไห่เชียนก็เพิ่งขึ้นเวที แต่ที่บังเอิญคือ คนที่เขาต้องสู้ด้วยก็เป็นศิษย์สำนักชางหลงเหมือนกัน
พอเห็นเย่เทียนมาเร็วขนาดนี้ เจี่ยซือหวี่ก็อดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “เย่เทียน ทำไมคุณถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะคะ?”
“เย่เทียนยักไหล่ แย้มปากแล้วพูดไปว่า “แข่งเสร็จก็มาเลยสิครับ”
เจี่ยซือหวี่พยักหน้าอย่างมีความคิด ยังไงเธอก็พอรู้จักฝีมือของเย่เทียนอยู่บ้าง มีเพียงคู่ต่อสู้อ่อนเกินไป เย่เทียนถึงเเข่งเสร็จได้เร็วขนาดนี้
แต่จิ่วเจี้ยกลับทนไม่ไหวจนต้องถามไปว่า “ศิษย์พี่เย่ ไม่ทราบว่าคู่ต่อสู้ของคุณเป็นใครเหรอครับ?”
นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เย่เทียนจึงพูดไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เหมือนจะชื่อว่าหวู่ทิงมั้ง? เป็นศิษย์ของสำนักชางหลง” พอพูดอย่างนั้นออกไป มันก็ได้ไปดึงดูดความสนใจของชายแก่ที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งเข้า ดวงตาที่พร่ามัวคู่นั้นได้หรี่เล็กลงสายตาที่มองมายังเย่เทียนก็ประหลาดอย่างถึงที่สุด
นั่นก็เพราะว่า เขาคือผู้อาวุโสของสำนักชางหลง รู้จักความสามารถของหวู่ทิงเป็นอย่างดี เป็นตัวแทนที่ติดท็อปสิบของสำนักชางหลงในการแข่งรอบคัดเลือกในครั้งนี้เลย แล้วจะไปถูกพ่อหนุ่มคนนี้เอาชนะได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง?
เย่เทียนตอบไปตามตรง “ผมไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักไหนเลยครับ”
ผู้อาวุโสซุนที่ได้ฟังอย่างนั้น ก็รีบพูดชักชวนว่า “ไม่รู้น้องชายรู้สึกว่าสำนักชางหลงเป็นยังไงบ้าง? มีความสนใจที่จะเข้าร่วมสำนักชางหลงของเรามั้ย?”
การที่สามารถขึ้นมานั่งอยู่บนตำแหน่งผู้อาวุโสนั้น มันก็มาพอที่จะยืนยันได้ว่าผู้อาวุโสซุนไม่ธรรมดา ถึงเขาจะมองฝีมือของเย่เทียนไม่ออก แต่การที่เย่เทียนสามารถเอาชนะหวู่ทิงได้ในกระบวนท่าเดียว มันก็ยืนยันได้แล้วว่าเย่เทียนต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ถ้าสามารถชักชวนเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้เข้าร่วมสำนักชางหลงละก็ จินตนาการได้เลยว่าอนาคตของสำนักชางหลงจะสดใสแค่ไหน
“หืม?!”
เย่เทียนนึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสซุนจะพูดตรงขนาดนี้ หลังจากที่ชะงักไปพักหนึ่ง เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าแล้วตอบไปว่า “ขอบคุณในความหวังดีของผู้อาวุโสซุนครับ แต่ผมเป็นคนที่เคยชินกับการอยู่อย่างอิสระไปแล้ว ไม่ชอบให้ถูกตีกรอบครับ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน จิงไห่เชียนที่อยู่บนสังเวียนก็รีบคว้าโอกาส ใช้ฝ่ามือซัดอีกฝ่ายจนตกลงมาข้างล่าง เสียงตุบดังขึ้นจนรู้ผลแพ้ชนะ
ผู้อาวุโสซุนไม่ได้แปลกใจกับผลการต่อสู้นี้ ก่อนที่การประลองจะเริ่มเขาก็มองความห่างชั้นของทั้งคู่ออกแล้ว ทำได้แค่แอบตัดพ้อว่าโชคไม่ดีผ่านไปแค่ไม่นานก็ถูกเอาชนะไปสองคนแล้ว มันย่อมส่งผลให้กำลังใจของศิษย์ในสำนักลดลงอย่างช่วยไม่ได้
พอคิดได้อย่างนั้น ผู้อาวุโสซุนก็ส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ขมขื่น แล้วเอาความอึออัดที่ถูกเย่เทียนปฏิเสธไปลงที่ลูกศิษย์ “ยังมัวยืนบื้ออยู่ทำไม? หรือยังรู้สึกว่าขายหน้าไม่พอ? ยังไม่รีบไปพยุงศิษย์หลานเหลยขึ้นมาอีก!”
ลูกศิษย์ของสำนักชางหลงหลายคนที่มีหวู่ทิงรวมอยู่ด้วยก็ตั้งสติได้ จะไปกล้ามีปัญหาได้ยังไง พร้อมใจกันไปพยุงศิษย์สำนักเดียวกันของพวกเขาที่ใต้เวที
ทันใดนั้น จิงไห่เชียนก็กระโดดลงจากเวที แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “เป็นไง? ผมเก่งมั้ย?”
พอเห็นท่าทางที่น่าหมั่นไส้ของเขา เจี่ยซือหวี่ก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดแดกดันไปว่า “ชักช้าจะตาย ศิษย์พี่เย่นั้นเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียวเอง หันมาดูคุณสิใช้ไปกี่นาที? ยังจะภูมิใจอะไรอีก?”
จิงไห่เชียนตกใจ แล้วพูดออกไปจากซอกฟันอย่างยากลำบากว่า “อย่าเอาผมไปเทียบกับน้องเย่ เขามันเป็นตัวประหลาด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่
ฝากถึงทีมงาน เราชอบอ่านนิยายมานาน...อ่านทุกประเภทและนิยายจีน..จากปี2520..อ่านมาตลอดในเวปใหญ่ๆ ชอบที่ทีมงานในเวปที่ให้อ่านฟรี..ก็อยากสนับสนุนถ้ามีโอกาส..และเวปดังๆเขาเก็บแพง..สมัยก่่อนเคยอ่านนิยายทั้งไทยจีน ค่าเช่าเล่มละ3บาท...แต่เวปดังๆเขาคิดตอนละ3บาท บางเรื่องมีหลายพันตอนซึ่งเมื่อเทียบแล้วเป็นเงินหลายพันบาท ซึ่งแพงกว่าเช่ามาก...เพื่อให้เวปพัฒนาขึ้น มีนิยายให้อ่านมากๆเรื่อง...มีค่าอ่านเช่น10ตอน3บาทหรือแล้วแต่ทางทีมงานจะตั้งราคา ที่ไม่สูงมากอย่างเวปอื่นซึ่งทีมงานคงรู้..นำมาปรับปรุงเวปนี้ เพราะชอบการแปลแบบนี้...
55555โดนสะงั้น...
Goๆๆๆๆๆๆ...
สุดยอดๆๆๆๆ...
ต่อไปๆๆๆ...
ยอมรับว่าเล้าใจๆๆ...
ติดตามๆๆๆๆไปต่อ...
ไปต่อๆๆๆ...
ต่อๆๆไปเลย...
สุดยอด...