หยูเฟยจงทำท่าเม้มปาก,บนใบหน้าที่งดงามไม่เห็นเเม้เเต่สัญญาณใดๆ
เด็กคนนี้เป็นคนที่มองการณ์ไกล, ทำอะไรก็ทำอย่างช้าๆ สิ่งไหนที่คุ้มค่าก็จะตัดสินใจทำอย่างเด็ดขาด เเต่ถ้าไม่คุ้มค่าก็จะไม่ทำ
แทนที่จี้หยุนชูจะบังคับเขา เเต่เขากลับอดทนรอ
เเน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นานหยูเฟยจงก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาทเห็นด้วย”
เขาไม่เรียกองค์รัชทายาทว่า “พ่อ”เเต่เรียก “องค์รัชทายาท” ซึ่งมันคงมีความหมายอะไรสักอย่าง
จี้หยุนชูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเเละถอนหายใจ
“จงเอ๋อร์” เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “คุณก็รู้ว่าเขาเป็นพ่อเเท้ๆของคุณ”
ทั้งๆที่รู้เเล้วเเต่ก็ยังไม่เคารพพ่อเช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นมาจากหนังสือสักเล่ม
น้ำเสียงของหยูเฟยจงราบเรียบปราศจากการสั่นไหวใดๆ “ไม่เป็นไรพ่อ”
เด็กอายุ 8-9 ขวบ ก็มีความคิดเป็นของตนเองเเล้ว
จี้หยุนชูไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบหัวของเขาและยิ้มเล็กน้อย "เจ้าเป็นคนที่โชคดีที่สุดเลยนะ"
หยูเฟยจงเงยหน้าขึ้น
เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดจริงๆ
ถึงจะไม่ใช่หลานชายคนโตของฝ่าบาท แต่อนาคตของประเทศอยู่บนบ่าของเขา
อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้หญิง ที่จะออกจากบ้านได้ก็ต่อเมื่อเเต่งงาน
แม้ว่าหยูเฟยจงจะมีอายุเเค่ 8-9 ขวบ เเต่มารดาผู้ให้กำเนิดเเละเหล่าสนมของเขาได้เสียชีวิตไปเเล้ว เขาถูกเเต่งตั้งให้เป็นจวิ้นอ๋อง ซึ่งสามารถมีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง หรือจะไปอยู่ที่อื่นก็ได้
เมื่อคืนที่ผ่านมา จี้หยุนชูเเนะนำให้เขาเเละองค์รัชทายาทย้ายที่พำนักใหม่ เเต่เมื่อพิจารณาว่าเด็กๆพึ่งจะกลับมา เขาจึงวางเเผนให้หยูเฟยจงพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง
เเต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะใจร้อนขนาดนี้ ยังไม่ทันข้ามคืนเขาก็พูดถึงมันซะเเล้ว
ในอารมณ์ที่ถึงเเม้จะรีบร้อนอยากอยู่กับเเม่ เเต่อีกด้านหนึ่งมันเป็นเพราะว่าหยูเฟยจงนั้นเป็นเด็กที่ฉลาด เขาสังเกตเห็นความเหม่อลอยของพี่ชายเเละน้องสาวของเขาที่ติดตามองค์รัชทายาทมา ความเย็นชาของพระชายาที่เเสดงออกมา ทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าพี่น้องของเขาไม่ได้เป็นที่ต้อนรับ ดังนั้นเขาจึงกัดฟังเเละพูดมันออกมาเสียเเต่เนิ่นๆ
เเน่นอนว่าองค์รัชทายาทเห็นด้วย
หยูเฟยจงพูดไม่ถูกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ไหนความรู้สึกเเบบไหน อาจจะอยู่ในความรู้สึกที่มีความสุขเล็กน้อย เพราะเขาจะได้อยู่กับเเม่ทุกวัน หรือจะหดหู่อีกครั้ง เมื่อคนคนนั้นเขา.........ตกลงอย่างไม่ลังเล
ดูเหมือนกับว่าการมีอยู่ของพี่น้องของเขามันช่างไม่มีความสำคัญเอาเสียเลย
เเต่นั้นมันก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร
หยูเฟยจงเอียงศีรษะ เขาไม่ต้องการแสวงหาสิ่งใดผ่านสถานะของเขา สิ่งที่เขาต้องการคือการได้รับสถานะผ่านความพยายามของเขาเอง เพื่อที่แม่ของเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบาย และพี่น้องของเขาจะได้รับการสนับสนุน
เพียงเท่านี้มันก็เพียงพอเเล้ว
ย้อนกลับไปที่พี่ใหญ่
เด็กชายจ้องมองไปที่ไหล่ของหยูเฟยเฉิงอย่างเงียบๆ ภายในตาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสงสารหรือว่าอิจฉา
คนเป็นพี่ชายถูกกำหนดมาให้เเบกรับทุกอย่างมากกว่าพวกเขา เเต่ในภายภาคหน้าตัวพี่ชายเองก็จะได้รับมากกว่าเช่นกัน
……
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร เฉียวเหลียนเหลียนนำอาหารออกมา ก็พบว่าบรรยากาศนั้นดูเงียบไป
หยูเฟยเฉิงเเละหยูเฟยจงทั้งสองเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด
แม้เเต่กู้โหลว เด็กชายตัวอวบอ้วนก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเสวนาสักเท่าไหร่
แม้เเต่อาหารที่เขาโปรดปรานก็ไม่สามารถทำให้เขายิ้มได้
เฉียวเหลียนเหลียนเห็นจึงเกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อย มือพลางหยิบตะเกียบคีบน่องไก่ใส่ชาม ปากก็พลางพูดว่า “โหลวอ่า เป็นอะไรล่ะ”
กู้โหลวทำเเค่เพียงเล่นกับน่องไก่ที่คนเป็นเเม่คีบมาให้ นี้เป็นครั้งเเรกที่เขาไม่คีบมันเข้าปากเหมือนอย่างเช่นเคย เเละก็พูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ท่านเเม่ ข้าอยากเปลี่ยนสำนักเรียนวรยุทธ ”
“หืม....ทำไมถึงพูดเเบบนั้นล่ะ” เฉียวเหลียนเหลียนยกคิ้วขึ้น
“ท่านเเม่.......ข้า.......” เด็กชายตัวอวบอ้วนลังเลเล็กน้อย “ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ ข้าอยากเก่งขึ้นมากกว่านี้”
พี่น้องของเขานั้นก็มีฐานะ ซึ่งนั้นมันก็สร้างความกดดันให้กับกู้โหลวเป็นอย่างมาก
เขารู้ตัวของเขาดีว่าเขากับพี่น้องของเขาช่างเเตกต่างกันเสียงเหลือเกิน เขายังรู้อีกด้วยว่าอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
สถานที่ที่ดาบไร้ซึ่งความปรานี ที่ซึ่งชีวิตและความตายเกิดขึ้นทันทีน่ะหรอ?
รอยยิ้มของเฉียวเหลียนเหลียน หายไปในทันที และใบหน้าของเขาก็ซีดเล็กน้อย
นางจะยอมให้ลูกไปสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น โหลวเอ๋อร์ก็ยังเด็กเกินไป
“เหลียนเหลียน” จี้หยุนชูเห็นถึงความไม่เต็มใจของเฉียวเหลียนเหลียน จึงพูดไปอย่างจริงใจว่า “ท่านไม่สามารถสอนเด็กให้ดีได้ ถ้าท่านไม่เข้มงวด ถึงเเม้ว่าสนามรบจะมีเเต่อันตราย เเต่นั้นก็เป็นการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม โหลวเอ๋อร์ยังเด็กเกินไปที่จะไปสนามรบน่ะหรอ ข้าน่ะ ไปสนามรบตั้งเเต่ข้าพึ่งจะเเปดขวบ”
ตอนนี้กู้โหลวอายุเกือบจะสิบขวบเเล้ว นั้นเเปลว่าเขาไม่ได้เด็กเกินไปที่จะไปสนามรบ
เฉียวเหลียนเหลียนผู้เป็นแม่ ต้องส่งลูกของตัวเองไปสนามรบด้วยมือของตัวเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นหล่อนคงให้อภัยตัวเองไม่ได้จริงๆ
“ท่านเเม่” กู้โหลวเข้าใจความต้องการของคนเป็นพ่อ เเละเข้าใจความกังวลเเละเป็นห่วงของคนเป็นเเม่ เขาค่อยๆกอดเเขนของคนเป็นเเม่ เเละพูดว่า “ท่านเเม่ไม่ต้องกังวล ในตอนเเรกเริ่ม ข้าจะไม่ไปในที่ที่มันอันตรายเเน่นอน เเละข้าจะกลับมาพบท่านอย่างปลอดภัย”
หลังจากที่ได้ยินเเบบนี้ อารมณ์ของเฉียวเหลียนเหลียนก็ดีขึ้นในทันที
เมื่อวานหล่อนพึ่งจะพูดไปเองว่า หล่อนโชคดีที่มีกู้โหลวอยู่เคียงข้าง
เเต่ทำไมในเพียงพริบตาเดียว เด็กน้อยคนนี้ก็กำลังจะหายไปล่ะ?
“เหลียนเหลียน” จี้หยุนซูตบไหล่ของหล่อนเบา ๆ “เจ้าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไปเมื่อวานเเล้วหรอ ไม่ช้าก็เร็ว เด็กคนนี้ก็จะโตขึ้น”
ผู้ชายต้องการสร้างครอบครัว ผู้หญิงต้องการแต่งงานและมีลูก
มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว
แต่เฉียวเหลียนเหลียนไม่คิดว่าทุกอย่างจะมาเร็วขนาดนี้
“วางใจเถอะ ข้าจะให้คนช่วยดูเเลโหลวเอ๋อร์ ข้าจะไม่ปล่อยเขาทิ้งไว้ในสนามรบเพียงลำพัง” จี้หยุนชูยื่นถ้วยชาให้เฉียวเหลียนเหลียน “เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกหรอ?”
เมื่อดวงอาทิตย์ส่องเเสง ดวงตาของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความจริงใจเเละจริงจัง
เฉียวเหลียนเหลียนหายใจอย่างช้า พลางเอามือลูปหัวของกู้โหลว เเละยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
กู้โหลวรู้ได้ทันที่ว่าเเม่ของตนคิดอะไรอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า
ตอนที่36หายค่ะ แก้ไขให้หน่อยนะคะ...
เนื้อหาตอน 21-25หาย แก้หน่อยนะคะ...
เนื้อหาหายแก้หน่อยนะคะ...
เนื้อหาหายค่ะ...
ตอนที่ 21-25 เนื้อหาหายไปค่ะรบกวนแก้ไขให้หน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ...
ลุ้นๆๆๆ ขนมอบต้องมา...
รัททายาทเป็นพ่อที่เลวมากๆ...
สนุกๆ รอตอนต่อไปค่ะ...
เริดๆๆ...
รอต่อค่าาา...