ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า นิยาย บท 280

ภายในสำนักศึกษา

ระดับชั้นของซิ่วไฉทั้งสี่ระดับชั้นได้นั่งในตำแหน่งที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว

หยูเฟยเฉิงได้เป็นผู้นำของห้องระดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย และมีไฉเค่อจี่ หนิวหวงเซิง จูเจิง หลิวซิ่งยวี่และคนอื่นๆยืนอยู่ด้านหลังของเขา

ส่วนหยูเฟยเชิงนั้นผลการเรียนของเขาค่อนข้างยอดเยี่ยม เพียงแต่เขาได้หาทางใหม่ แทนที่จะเข้าไปเรียนห้องระดับแรก เขากลับเลือกเข้าเรียนในห้องระดับสองแทน

และตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็คือจ้าวอู่ หานชิง ซุนเหนียนซี หลี่อู๋เหลิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ในชั้นเรียนระดับสอง

ส่วนชั้นเรียนระดับสาม และชั้นเรียนระดับสี่ก็มีผู้นำเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับหลานชายทั้งสองของจักรพรรดิแล้ว พวกเขายังดูโดดเด่นไม่มากพอ

"วันนี้สำนักศึกษามีการทดสอบเล็กๆน้อยๆ ส่วนเรื่องข้อสอบพวกเจ้าทุกคนก็คงจะพอรู้อยู่แล้ว โดยการสอบครั้งนี้จะให้เวลาทำข้อสอบทั้งหมดสองชั่วยาม ไม่ว่าจะเขียนเสร็จหรือไม่ก็ตามก็ต้องส่งม้วนข้อสอบ"

อาจารย์นั้นได้ยืนอยู่ตรงกลาง ลูบเคราของเขาและเริ่มพูดต่อว่า

นักเรียนห้องหนึ่ง และห้องสองที่มีผลการเรียนดี พวกเขานั้นมิเคยเอ่ยสิ่งใดสักคำ

แต่บางคนในห้องสอง และห้องสามที่กลับมากความเสียเหลือเกิน

"เรียกร้องสิ่งใดกันนักหนาหรือ มีสิ่งใดทำให้พวกเจ้ามากความได้มากถึงเพียงนั้นกัน หากยามหนุ่มสาวไม่ขยันขันแข็ง ยามแก่เฒ่าก็อาจเสียใจได้ เมื่อพวกเจ้าเข้าสำนักศึกษาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นใดก็ล้วนต้องตั้งใจเรียนกันทั้งสิ้น หากแม้แต่การสอบง่ายๆก็ยังผ่านไปมิได้ ข้าว่าลาออกจากสำนักไปเสียดีกว่า" อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่แยแส

เมื่อได้ยินดังนั้น พวกที่บ่นอยู่ก็หุบปากลงทันที

หยูเฟยเชิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า "อาจารย์ ข้าอยากทราบว่านอกจากเวลาทำข้อสอบสองชั่วยามแล้ว ไม่มีกฎข้ออื่นอีกใช่หรือไม่"

"ไม่มีแล้ว" อาจารย์ส่ายหัว

ในสมัยราชวงศ์ต้าหยู การสอบโดยปกติให้เวลาครึ่งวันหรือหนึ่งวันในการทำข้อสอบ ซึ่งการสอบเพียง 2 ชั่วยามเช่นนี้นั้นไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบความสามารถของผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังทดสอบความเร็วในการคิดวิเคราะห์รวมถึงความเร็วในการเขียนอีกด้วย

หยูเฟยเชิงใช้สายตามองไปที่หยูเฟยเฉิงอย่างยั่วยุ "ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่มีความมั่นใจมาจากที่ใดว่าสามารถตอบคำตอบเสร็จภายในสองชั่วยาม"

ในหลายวันมานี้ ลูกพี่ลูกน้องหลายคนของตระกูลจ้าวได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ภายในจิตใจของหยูเฟยเซิงนั้นก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ

และครั้งนี้เขาได้ทั้งซ้อมทำข้อสอบล่วงหน้าและแอบอ่านตำราโบราณจำนวนมากเพียงเพื่อใช้โอกาสนี้ในเหยียบย่ำความหยิ่งยโสของหยูเฟยเฉิง

แต่ใครจะรู้ เพียงแค่พูดประโยคหนึ่งออกไปก็ทำให้แววตาของเขานั้นเปลี่ยนไป

หยูเฟยเฉิงนั่งลงทำข้อสอบอย่างจริงจัง มือข้างหนึ่งจับพู่กัน และใช้มืออีกหนึ่งข้างฝนหมึกโดยที่ไม่มอง

"เจ้า..." หยูเฟยเชิงรู้สึกอึดอัดใจอยู่พักหนึ่ง

เพราะพี่ใหญ่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อใดที่เขาโดนยั่วยุ หยูเฟยเฉิงจะทำตัวหยิ่งยโสกลับไป แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนสุขุม แต่ก็ยังให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและเยาว์วัยอยู่ภายในตัวของเขา

แต่การกลับมาในครั้งนี้ เขากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เขากลายเป็นคนเข้าใจยาก สูญเสียความมีชีวิตชีวาของวัยเยาว์ และจากคนที่เคยสุขุมก็กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนต่างคาดหวัง

หยูเฟยเชิงไม่สามารถบอกได้ว่าเขาภายในใจของเขารู้สึกอย่างไร ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ในตอนนี้เขาเลิกยั่วยุหยูเฟยเฉิง แล้วหันมาก้มหน้าและฝนหมึกอย่างจริงจัง จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียน

ชั่วขณะหนึ่ง ในสำนักศึกษาได้กลิ่นเพียงแต่กลิ่นหมึก และเสียงลากพู่กัน

สองชั่วยามต่อมา อาจารย์ก็เดินมาเคาะฆ้องบอกเวลาสิ้นสุดการสอบ

คนส่วนใหญ่ขมวดคิ้วแล้ววางพู่กันลง คนส่วนน้อยนั้นค่อนข้างมั่นใจ และบางคนก็พยายามเขียนเพิ่มเติมอีก 2-3 ประโยคก่อนที่อาจารย์จะมาเก็บม้วนข้อสอบ

หยูเฟยเชิงมองไปยังหยูเฟยเฉิงอีกครั้ง

และดูเหมือนว่าหยูเฟยเฉิงได้วางพู่กันไปซักพักแล้วและนั่งรอด้วยความสงบ เมื่ออาจารย์มาเก็บข้อสอบ เขาได้มองเห็นคำตอบบนหน้ากระดาษข้อสอบก็พยักหน้าอย่างชื่นชม ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาเขียนได้ดี

ซึ่งหยูเฟยเชิงก็รู้สึกไม่แปลกใจ

เพราะภายในเมืองหลวงแห่งนี้ หลานชายคนโตของจักรพรรดิหยูเฟยเฉิงนั้นมีพรสวรรค์ แม้แต่จักรพรรดิก็ยกย่องเขาว่าเป็นดวงดาวดวงใหม่แห่งวงการวรรณกรรม และยังเป็นคนทีมีความสามารถทั้งทางบุ๋นและบู้

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาอยู่ในที่ห่างไกลแบบนั้นมาสองปี ทั้งยังไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ไม่มีตำราของคนรุ่นก่อนให้อ่าน เขาจะฉลาดได้มากเพียงใดกันเล่า?

หานชิงฟังไม่ชัด "ซุนเหนียนซีเจ้าพูดว่าอะไรนะ"

"ไม่มีอะไร" ซุนเหนียนซีก้มหัวลง

"เอาล่ะ" เดี๋ยวหลี่อู๋เหลิงจะจัดการเรื่องต่างๆให้ราบรื่นเอง * "มาดูเถิดว่าการสอบของอาเชิงเป็นเช่นไรบ้าง อาเชิง เจ้าคิดว่าอย่างไร"

หยูเฟยเชิงยังคงเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกไป

หลายคนรู้สึกถึงอารมณ์หดหู่ของเขา ทำให้ความรู้สึกของทุกคนก็ย่ำแย่ไปด้วย

เป็นไปได้ไหมว่าเขาทำข้อสอบได้ไม่ดี?

คราวนี้ หลายคนยิ่งไม่กล้าพูดสิ่งใดอีกทำได้เพียงเดินตามหลังหยูเฟยเชิงออกจากสำนักศึกษาอย่างช้า ๆ

นอกห้องสอบ หานมู่ได้เดินตามหลังอาจารย์และช่วยหยิบม้วนคำตอบไปส่งพร้อมกับอาจารย์

ไม่ใช่ว่าเด็กชายจากตระกูลหานเป็นคนเดียวที่ได้รับความเอ็นดูจากอาจารย์แต่อย่างใด เพียงแต่บังเอิญว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่ส่งกระดาษ ดังนั้นอาจารย์จึงขอให้หานมู่ช่วยถือข้อสอบให้

เมื่อเห็นสีหน้าสลดใจของหยูเฟยเชิง หานมู่นั้นทำสายตาหลุกหลิกแล้วแสร้งทำเป็นถามกับอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ หลานของจักรพรรดิทั้งสองพระองค์ทำได้ดีในการสอบครั้งนี้ใช่หรือไม่"

อาจารย์เหล่ตาของเขาและพูดพึมพำ "เขียนออกมาได้ดี แต่น่าเสียดาย น่าเสียดาย"

"เสียดายสิ่งใดกันหรือ"หานมู่อดที่จะสงสัยไม่ได้

“น่าเสียดาย หลานของจักรพรรดิคนนั้นเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาจึงรู้ว่าต้องหยุดเขียนเร็วกว่านี้เพื่อรอเวลาให้หมึกแห้ง แต่หลานอีกคนกลับไม่รู้ ทำให้เกิดความล่าช้าในการเก็บม้วนข้อสอบ” อาจารย์อาวุโสได้ส่ายหัวและเดินจากไป

สีหน้าของหานมู่นั้นบิดเบี้ยว

ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์ส่ายหน้าเพราะความแห้งของหมึก ไม่ใช่อย่างอื่น

หยูเฟยเชิงผู้น่าสงสาร อารมณ์ที่ตกจากฟ้าไปสู่ก้นบึ้งแห่งความผิดหวัง และต้องใช้เวลาอีกนานถึงจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า