มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 78

“เมื่อสี่ปีก่อนข้าได้เข้าถึงแดนฝึกชี่ไห่เป็นที่เรียบร้อย ทว่าเนื่องจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟ เลยไม่สามารถพัฒนาฝึกฝนต่อได้ ในวันนี้โรคชีพจรขาดธาตุไฟไม่มีอีกต่อไป ข้าก็ควรที่ตั้งใจฝึกฝนแล้ว”

ลู่เมิ่งเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม กะพริบตาปริบ ๆ ให้กับหลัวซิว กล่าวหยอกล้อ: “ข้าอายุมากว่าเจ้า ผลการฝึกตนไม่มีทางต่ำกว่าเจ้าหรอก”

ลู่เมิ่งเหยาไม่เคยแสดงผลการฝึกตนของตัวเองออกมาต่อหน้าหลัวซิว แต่สำหรับหลัวซิวที่สามารถมองเห็นกระแสพลังลายเส้นชีวิตแล้ว ในสายตาของหลัวซิวผลการฝึกตนของนางไม่ได้เป็นความลับเลยสักนิด

ชี่ไห่ขั้นห้า!

นั่นคือผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยา

ตอนนี้นางมีอายุยี่สิบเอ็ดปี ตามกฎของสำนักเซียวเหยา หากไม่สามารถทะลวงถึงแดนพรสวรรค์ได้ก่อนอายุยี่สิบห้า ก็จะไม่มีโอกาสเข้าในสำนัก หมดโอกาสในการฝึกวิชายุทธ์ที่ลึกล้ำไปกว่าเดิมไปตลอดชีวิต

ทว่ายังไงบิดาของนางก็เป็นเจ้าสำนักนอกสำนัก ขอเพียงผลการฝึกตนสูงพอ ก็สามารถไปเลือกวิชายุทธ์ในหอเซียวเหยาได้

สำหรับเรื่องราวในอดีตของลู่เมิ่งเหยา อยู่ที่นอกสำนักหลัวซิวก็พอได้ยินมาบ้าง เหมือนว่านางได้เข้าสู่แดนฝึกชี่ไห่ อายุสิบสามชี่ไห่ขั้นสี่ อายุสิบแปดชี่ไห่ขั้นเก้า!

ความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ พูดได้ว่าเป็นดรุณีที่สวรรค์ภาคภูมิใจ!

ทว่าการปรากฏตัวของโรคชีพจรขาดธาตุไฟ กลับทำให้นางตกต่ำถึงที่สุด ผลการฝึกตนไม่ก้าวหน้ากลับถอยหลัง ถอยไปจนถึงชี่ไห่ขั้นสอง

เนื่องด้วยสาเหตุบางประการ นางได้ไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ใช้ชีวิตอยู่ที่สำนักชิงหยุนเป็นเวลาสี่ปี

ส่วนข้างในมีเหตุผลอะไรนั้น ลู่เมิ่งเหยาไม่กล่าว หลัวซิวก็ไม่เคยเอ่ยถาม

ในระหว่างทางที่กลับไป บุรุษหนุ่มสองคนได้ขวางหลัวซิวเอาไว้ ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบปี ท่าทางไม่เป็นมิตร

“เจ้าเองหรือที่ชื่อหลัวซิว? อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนัก?” คนที่กล่าวนั้นเป็นบุรุษหนุ่มชุดดำ แม้ว่าคำพูดที่กล่าวออกมานั้นจะดูสุภาพ แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยแววเหยียดหยามและท้าทาย

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยังมีบุรุษหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ ระหว่างคิ้วมีความยิ่งยโสที่โอหังเป็นอย่างมาก ไม่ชายตามองหลัวซิวเลยสักนิด ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตั้งใจมาบอกกับเจ้าว่า ต่อไปอย่าเข้าใกล้แม่นางลู่นัก” บุรุษหนุ่มชุดดำยิ้มกล่าว

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวท่าทางเฉยเมย ราวกับเขาได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สาเหตุมาจากเมิ่งเหยา เขาอยู่ในนอกสำนักแห่งนี้ จะต้องเป้าโจมตีอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ได้เก็บตัวฝึกตน นี่พึ่งจะออกมา ก็มีคนมาหาเรื่องทันที

“เรื่องของข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยว” หลัวซิวกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เฉกเช่นเดียวกันกับสำนักยุทธ์ นอกสำนักเซียวเหยาเองก็มิได้ห้ามปรามมิให้ลูกศิษย์ต่อสู้กัน ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

หากระหว่างทั้งสองมีความแค้นใหญ่หลวง ก็สามารถร้องขอขึ้นแท่นประลองเป็นตายได้ มีผู้ดูแลสำนักเป็นพยาน บนแท่นประลองเป็นตาย ต่อให้คร่าชีวิตของอีกฝ่าย ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามันโอหังไม่เบานี่” รอยยิ้มบนใบหน้าของบุรุษหนุ่มชุดดำได้สลายหายไป ใบหน้าเย็นชา : “อย่าคิดว่าเป็นอันดับหนึ่งจากการสอบเข้าสำนักก็แน่มากแล้ว ผลการฝึกตนเพียงแค่ชี่ไห่ขึ้น2 อยู่ในนอกสำนักเซียวเหยาเป็นเพียงระดับล่างเท่านั้นเอง”

หลัวซิวสีหน้าเย็นชา กล่าวเสียดสีกลับ: “เจ้าเองก็แค่ผลการฝึกตนชี่ไห่ขั้น6 อยู่ในนอกสำนักเซียวเหยาก็ไม่นับอะไรด้วยซ้ำ”

จากกระแสพลังลายเส้นชีวิต หลัวซิวสามารถมองเห็นระดับที่บรรลุถึงชี่ไห่ระดับ6 ของบุรุษหนุ่มชุดดำได้อย่างง่ายดาย

สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่ตอนต้นคนอื่น ๆ แล้ว ชี่ไห่ระดับ6 นั้นพูดได้ว่าสูงเกินเอื้อม ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจ เนื่องด้วยนับจากที่เขาได้ทะลวงถึงแดนฝึกชี่ไห่ใหม่ ๆ เขาก็ได้คร่าชีวิตชี่ไห่ระดับ7 ของนอกสำนักเซียวเหยาไป!

ยิ่งไปกว่านั้นผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ได้เข้าสู่ชี่ไห่ระดับ3 แล้ว ทักษะยุทธ์วิชาท่าร่างต่างก็ได้ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นอย่างมาก เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นชี่ไห่ระดับ6 อยู่ในสายตา

“หยุดนะ!” บุรุษหนุ่มชุดขาวตวาดขึ้นมา

ทว่าคำพูดของเขาสำหรับหลัวซิวแล้ว กับทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่มีว่าท่าว่าจะหยุดลงเลยสักนิด

“เชียง!”

แสงกระบี่สว่างไสวสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้น การที่หลัวซิวไม่สนใจตนเองนั้น ทำให้บุรุษหนุ่มชุดขาวลงมือด้วยความโมโห ปราณแท้จับตัวเป็นคมแสงกระบี่ ครอบงำเข้าหาหลัวซิว

“ท่ามังกรทะยาน!”

หลัวซิวขยับเท้าเป็นแนวนอน ทิ้งเงาร่างเอาไว้ ณ จุดเดิม จากนั้นก็ซัดหมัดสองข้างออกมา เฉกเช่นมังกรทะยาน แสงสว่างของปราณแท้ทะลักออกมาอย่างดุเดือด ราวกับคลื่นที่เกรี้ยวกราด

บุรุษหนุ่มชุดขาวยกหัวคิ้วทันที คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวที่มีวิชาชี่ไห่ระดับสอง วิชาท่าร่างและทักษะยุทธ์จะร้ายกาจเช่นนี้

มือซ้ายรวบรวมพลังปราณแท้และซัดฝ่ามือออกไป หลังจากที่หมัดและฝ่ามือกระทบกัน บุรุษหนุ่มชุดขาวก้ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามไม่ได้

“สวรรค์! เจ้าหนุ่มนั้นเป็นปีศาจหรือยังไง? บีบให้หลินจิงหยุนก้าวถอยหลังไปหลายก้าวเช่นนี้เชียว?”

“ได้ยินว่าตอนที่สอบเข้าสำนักเขายังอยู่ที่ชี่ไห่ระดับสอง ทว่าพลังปราณที่เขาแสดงออกมาเมื่อสักครู่นั้น ได้เข้าสู่ขั้นชี่ไห่ระดับสามแล้ว แต่ต่อให้เป็นชี่ไห่ระดับ3 ก็ไม่น่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ว่าไหม?”

“หลินจิงหยุนมีผลการฝึกตนถึงขั้นชี่ไห่ระดับ7 เชียวนะ และได้ฝึกฝนวิชากระบี่ถึงแดนบรรลุผล มีฝีมือชั้นยอด!”

กลุ่มผู้คนที่มุงดูต่างกระซิบกระซาบ ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่าหลัวซิวอยู่ในขั้นชี่ไห่ระดับ3 แต่หลินจิงหยุนคือชี่ไห่ระดับ6 ตามหลักแล้วต่อให้เป็นชี่ไห่ระดับ3 สิบคนลงมือสู้กับหลินจิงหยุนพร้อมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู่ของหลินจิงหยุน เวลานี้กลับถูกหลัวซิวบีบให้ถอยหลัง ถ้าหากไม่เห็นกับตา มันทำให้คนยากที่จะเชื่อจริง ๆ

เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์นอกสำนักคนอื่น ๆ หลินจิงหยุนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ในศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาจำนวนมาก เขานับเป็นบุคคลที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถูกหลัวซิวบีบให้ถอยหลัง ทำให้เขาขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ