“ผีหลอกรึ”
ชายผู้นั้นเหลือบมองเขา “เหลวไหลสิ้นดี!”
“คุณชาย พวกข้าออกปฏิบัติภารกิจยามค่ำคืน ได้ยินเรื่องพวกนี้มาก็มาก ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่าตำหนักสิงกงห่างไกลผู้คน เปล่าเปลี่ยวและวังเวง”
กันไฉพูดขึ้นด้วยความระมัดระวัง “อากาศข้างนอกร้อนจะแย่ แต่คนในตำหนักสิงกงกลับหนาวจนต้องสวมใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น”
“เช่นนั้นก็แสดงว่าที่นั่นเป็นดินแดนพิศวงมิใช่หรือ”
ดินแดนพิศวงเป็นดินแดนเป็นดินแดนที่แฝงไปด้วยสิ่งลี้ลับมากมาย
ชายผู้นั้นได้ยินแล้วก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ข้าไม่เคยเชื่อสิ่งลี้ลับเหล่านี้”
เขาสบถเสียงเบา “ในเมื่อพวกเจ้ารับเงินของข้าไปแล้ว ก็ต้องทำงานให้เรียบร้อย! ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกห้าวัน หากอีกห้าวันพวกเจ้ายังฆ่าเจ้าเด็กนั่นไม่ได้...”
“พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับมาอีก! ถึงเวลานั้นข้าจะจ้างคนอีกกลุ่มไปไล่ฆ่าให้หมด”
“ส่วนจะไล่ฆ่าใครนั้น พวกเจ้าก็รู้แก่ใจดี!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่าบรรดามือสังหารก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว รีบรับปากทันที
หลังจากที่ชายผู้นั้นจากไปแล้ว หนึ่งในมือสังหารก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เงินก้อนนี้เป็นเงินร้อน! ข้าว่าเรารวบรวมเงินคืนเขาไปดีกว่า!”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น เราไม่ควรรับงานนี้ตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ!”
“ที่ตำหนักสิงกง แปลกประหลาดจะแย่! ข้าไม่กล้าไปหรอก!”
เมื่อได้ยินทุกคนพูดมาเช่นนี้ กันไฉขบฟันแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าพูดอย่างกับเป็นเรื่องง่าย เงินก้อนนั้นเราใช้จ่ายไปกว่าครึ่งแล้ว จะรวบรวมให้ครบได้อย่างไร”
“คุณชายฉู่ผู้นี้ ให้ราคามาค่อนข้างสูง! ต่อให้เรารวบรวมทั้งหมดจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ไม่พออยู่ดี!”
พวกเขาต่างล้วนเป็นมือสังหาร
พเนจรร่อนเร่ไปทั่ว ไม่มีที่พักเป็นหลักเป็นแหล่ง
เงินได้มาเร็ว ใช้จ่ายก็เร็ว
ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ไม่ถึงสองร้อยตำลึงเสียด้วยซ้ำ แล้วจะเอาจากไหนมารวบรวมคืนให้เขากัน?!
“อีกอย่าง หากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ต่อไปภายภาคหน้าเราจะอยู่ต่อได้อย่างไรกัน หากชื่อเสียงเรียงนามของเราเสียหายแล้ว คนที่ไหนจะกล้าว่าจ้างเราอีก”
กันไฉไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ
หนึ่งในมือสังหารกลับขมวดคิ้วแน่น
“พี่ใหญ่ แต่เรื่องเมื่อคืนนี้มันแปลกและน่ากลัวเกินไป! ข้าเป็นคนไม่เคยกลัวอะไร ยกเว้นเรื่องผีสาง!”
“พี่ใหญ่ หากที่นั่นมีผีสางจริงๆ แม้แต่ชีวิตก็คงจะเอากลับมาไม่รอดกระมัง!”
“หรือว่าเราเชิดเงินแล้วหนีดี”
เขาพึ่งจะพูดจบ กันไฉก็ตบเขาอย่างเต็มแรง “เจ้าโง่! หากครั้งนี้เราเชิดเงินหนี ต่อไปภายภาคหน้าเราจะใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไรกัน”
อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้ เหล่าบรรดามือสังหารจึงพากันนั่งก้มหน้าเงียบ นึกวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก
“ข้าว่า...”
กันไฉขบกรามแน่น “ครั้งนี้เราจะไม่ปฏิบัติภารกิจตอนกลางคืน”
“จะสังหารพระนัดดาองค์โตตอนกลางวันแสกๆ อย่างนั้นหรือ”
“นั่นน่ะสิ! คนที่เราจะไปสังหารไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นถึงพระนัดดาองค์โตเชียวนะ! หากโดนจับได้ขึ้นมา ฮ่องเต้คงจะรับสั่งให้ขุดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษเราทั้งสิบแปดชั่วโคตรเป็นแน่แท้!”
“ทหารยามของตำหนักสิงกงเข้มงวดเป็นอย่างมาก เราจะลงมือสังหารตอนกลางวันได้อย่างไรกัน”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสงสัยของทุกคน กันไฉจึงพินิจไตร่ตรองอย่างจริงจัง
“ข้าว่าเราสามารถใช้วิธีนี้ได้”
เขากวักมือเรียกเพื่อบอกเป็นนัยให้ทุกคนขยับเข้ามาล้อมวง จากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นพึมพำ
…
พวกเขาย้อนกลับเข้าเมืองหลวงในตอนกลางคืน จากนั้นก็รวบรวมความกล้าเดินทางไปที่ตำหนักสิงกงอีกครั้ง
กว่าจะถึงตำหนักสิงกง ก็เป็นช่วงค่ำของวันที่สองแล้ว
ครั้งนี้กันไฉและคนอื่นๆ เริ่มฉลาดขึ้น
พวกเขาไม่ได้ลงมืออย่างลวกๆ เพียงแต่คอยเฝ้าดูสถานการณ์อยู่บริเวณใกล้ๆ กับตำหนักสิงกงเท่านั้น
เมื่อมองดูเมฆหมอกที่ขาวโพลน กันไฉกลับรู้สึกดีใจที่พวกเขาไม่ได้ลงมืออย่างโผงผาง นักฆ่าส่วนหนึ่งพากันนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็เริ่มแจกจ่ายอาหารแห้งกินกัน
กันไฉเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดทั้งคืน เมฆหมอกก็ยังคงหนาแน่นไม่ได้เบาบางลงแม้แต่น้อย
จะว่าไปก็น่าแปลก ท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ กลับมีเพียงตำหนักสิงกงที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกขาว นอกเหนือจากที่ตรงนี้แล้ว เขาทั้งลูกก็ไม่มีเมฆหมอกแม้แต่นิดเดียว!
“เหตุใดถึงได้พิลึกกึกกือเช่นนี้!”
ก่อนหน้านี้บอกว่าหกล้มขาหัก จะรักษาอยู่ที่ตำหนักสิงกงให้ได้
แต่หมอหลวงหยางรักษาเขามาครึ่งค่อนเดือน ขาของเขากลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย!
พอเปิดผ้าพันแผลออก เลือดก็พุ่งทะลักออกมาไม่หยุด
เช่นนี้ก็ถือว่าเกินไปเสียแล้ว!
หากไม่รู้มาก่อนว่าเสวียนซันเซียนเซิงเป็นเทพเซียนผู้เฒ่า เกรงว่าหลังจากที่เขาได้เห็นแผล ‘ขาหัก’ เต็มไปด้วยเลือดที่ไหลไม่หยุดแล้ว หมอหลวงหยางคงจะต้องเริ่มสงสัยฝีมือการแพทย์ของตนเองเป็นแน่แท้!
ยังดีที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หมอหลวงหยางก็ได้รู้ความจริงว่าเสวียนซันเซียนเซิงตั้งใจทำให้เป็นเช่นนี้!
ตาเฒ่าไร้ยังอาย!
เพื่อที่จะได้อยู่ในตำหนักสิงกงต่อ แม้แต่ยางอายก็ไม่เอาแล้ว!
ถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่เขาก็เป็นคนที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อน จึงรู้ว่าการที่เสวียนซันเซียนเซิงไม่ยอมออกจากตำหนักสิงกง ตัวติดกับไทเฮากู้ทุกวันไม่ยอมไปไหนนั้น ก็เพราะเขามีใจให้กับไทเฮากู้
หมอหลวงหยางแอบหัวเราะเยาะในใจ
ไทเฮากู้เป็นคนเช่นไร?
ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าไทเฮาย่อมถนอมกายใจไว้เพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่แล้ว
เสวียนซันเซียนเซิงเห็นไทเฮาเป็นเด็กสาวที่พึ่งจะอายุสิบห้าหรืออย่างไรกัน ถึงได้คิดว่าหากดันทุรังเช่นนี้ต่อไป ไทเฮาจะเกิดหวั่นไหวมีใจให้?
นี่ไม่ใช่บทละครเสียหน่อย!
เสวียนซันเซียนเซิงอายุมากขนาดนี้แล้ว แต่เขากลับเป็นตาแก่ที่ยังไม่เคยมีความรักอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเลยสักครั้ง!
เมื่อได้รับสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของหมอหลวงหยาง เสวียนซันเซียนเซิงกลับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย “เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่จ้องข้า ตาเฒ่าหยาง เจ้าไม่พอใจอะไรข้าหรืออย่างไรกัน”
หมอหลวงหยางตอบกลับ “...มิกล้า มิกล้า”
เมื่อถูกเสวียนซันเซียนเซิงจ้องกลับ ความง่วงที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดก็ได้หายไปจนหมดสิ้น!
ใครจะไปกล้าไม่พอใจเฒ่าทารกเช่นเขาเล่า
หมอหลวงหยางลูบจมูกเบาๆ พลางหลบสายตาเขา
ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของเสวียนซันเซียนเซิงก็สั่นคลอนเล็กน้อย สายตาที่ลุ่มลึกของเขาจับจ้องไปยังด้านนอกทันที
แววตาที่กำลังยิ้มเมื่อครู่นี้ได้เปลี่ยนเป็นสายตาที่เย็นยะเยือก ราวกับว่าสามารถมองทะลุกำแพงนอกตำหนักสิงกงได้อย่างไรอย่างนั้น!
"หยวนเป่ารู้สึกได้ทันทีว่าเขาผิดปกติไป จึงรีบถามขึ้นว่า “ท่านปู่เสวียนซัน เป็นอะไรไปหรือ?!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อนงค์ใจพระชายาราชสีห์
นิยายสนุก แต่ช่วยมาลงต่อให้จบได้ไหมคะ...
อัพใหม่เถอะค่ะ...
เมื่อไรจะอัพเพิ่มคะ ฮือ รอนานมากแล้วววว...
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 353 - 430 หายไปไหน หายยาววววมากกกก...
รอตอนต่อไปจ้า...
สนุกดีอ่านแล้วขำ 555...