พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 152

“คุณมาทำอะไรที่นี่น่ะ”

“ที่นี่ไม่ใช่ห้องน้ำผู้หญิงซะหน่อย ทำไมผมถึงมาอยู่นี่ไม่ได้ล่ะ?” ทุกครั้งที่คุยกับสีชิงชวนเขาไม่เคยตอบฉันดีๆเลยสักครั้ง กลับถูกตั้งคำถามถามกลับฉันเสมอ

“ช่างทำสปาล่ะ?” ฉันมองไปรอบๆห้อง แต่ก็มีเพียงแค่เราสองคน

“ก็ผมนี่ไง?”

“คุณจะทำอะไรอีก? เมื่อกี้ที่เราจูบกันหน้าห้องน้ำมีคนเห็นตั้งเยอะแล้ว มันยังไม่พอใจคุณอีกเหรอ?”

“ตอนแรกมันก็พอแล้วแหละ แต่เมื่อคืนคุณดันก่อเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ฉะนั้นแค่เราจูบกันเมื่อกี้นี้มันยังไม่พอสำหรับผมหรอก”

เขาเดินไปล้างมือที่อ่างล้างมือ ฉันมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความกลัว “คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

“ที่นี่มีกล้องวงจรปิด” เขาล้างมือเสร็จชี้ไปบนศรีษะของเขา “ผมจะไม่ถ่ายทอดสดอย่างแน่นอน แต่คิดว่าทำอะไรนิดๆหน่อยๆน่าจะได้อยู่นะ”

“คุณจะทำอะไร?” ฉันเดินถอยหลัง

“ทำตัวให้สบายๆหน่อย นอนลงไป” เขากลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่อยู่ข้างเตียงทำสปาของฉัน “คุณยังต้องมาร์คหน้าอีกแค่อย่างเดียวก็เสร็จแล้วล่ะ”

ฉันแหงนหน้าขึ้นมามองกล้องวงจรปิด ดีที่ยังมีกล้องวงจรปิดไว้ปกป้องตัวเอง เขาคงจะไม่ทำอะไรที่มันเกินไปนะ ฉันตัวสั่นนอนลงด้วยความกลัว เขาแกะซองออกแล้ววางแผ่นมาร์คหน้าเย็นๆมาไว้บนใบหน้าฉัน กิริยาท่าทางของเขามันช่างดูอ่อนโยนซะเหลือเกิน แถมเขายังวางแผ่นมาร์คหน้าไม่กลับด้านอีกซะด้วย ฉันรู้สึกปลื้มใจมากเหลือเกิน

“พูดคุยอะไรหน่อยสิ” เขาช่วยฉันจับแผ่นมาร์คหน้าให้เข้าที่

“หืม?”

“บนศรีษะผมมีกล้องวงจรปิด แม้ว่ามันจะบันทึกเสียงไม่ได้ แต่มันสามารถจับภาพได้ว่าเราคุยกันหรือไม่ ถ้าหากว่าคนสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลยมันจะดูแปลกประหลาดมากคุณว่าไหม”

ฉันว่าตอนนี้มันดูแปลกประหลาดมากกว่า ก็แค่หาเรื่องคุยกันใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะลองดู

ฉันจึงพูดขึ้นมาว่า “ปกติคุณก็มาร์คหน้าด้วยเหรอ?”

“คุณไม่มีเรื่องอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม?”

“มันก็แค่การพูดคุยกัน อยากจะพูดอะไรก็พูดไปสิ”

“ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” น้ำเสียงของเขาดูแมนมาก

“แล้วคุณมีการดูแลปกป้องผิวพรรณอะไรไหม?”

“ผมใช้แค่เพียงโลชั่นทาผิว นั่นมันเท่ากับว่าเป็นการดูแลปกป้องผิวพรรณไหมล่ะ?”

“อันนั้นไม่นับว่าเป็นการดูแลปกป้องผิวพรรณนะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองหน้าเขา “งั้นก็แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีผิวพรรณที่ดีมากๆคนหนึ่งเลยแหละ ผู้ชายส่วนใหญ่รูขุมขนจะกว้างมาก แต่คุณดันไม่มีเลย”

“คุณสามารถจับดูได้” เขาหว่านล้อมให้ฉันทำตาม “ถ้าแบบนี้ภาพที่บันทึกออกมาจะดูเหมือนว่าเราสนิทสนมกันมากๆเลยแหละ”

ฉันกลับอยากจับหน้าเขาขึ้นมาจริงๆ และฉันก็ยื่นมือออกไปจับหน้าเขาทีหนึ่ง ผิวของเขาเนียนมากๆ แม้แต่สิวสักเม็ดยังไม่มีเลย จับดูแล้วมันลื่นมากๆ

“อืม ผิวของคุณมันเนียนลื่นจริงๆด้วย” ฉันประเมินผิวของเขา

จู่ๆเขาก็จับมือของฉันไว้ ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่น ที่แท้ในมือของเขานั้นมีเซรั่มจากแผ่นมาร์คหน้าเมื่อกี้นี้อยู่ เขาแค่จะช่วยทาเซรั่มบนมือของฉันเท่านั้นเอง ฉันดันตื่นตกใจไปเอง คิดว่าเขาจะทำอะไรฉันสักอีก วิธีการทาเซรั่มของเขามันช่างดูอบอุ่นซะเหลือเกิน คิ้วและตาที่ก้มลงมามองที่ฉันนั้นมันช่างดูอ่อนโยน ดวงตาทั้งคู่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ขนตายาวๆของเขา มองไม่เห็นความเป็นปรปักษ์ในดวงตาของเขาเลยสักนิด ทุกอย่างที่เป็นตัวเขามันดูเปลี่ยนไปหมด

สีชิงชวนเป็นคนที่รูปงามจริงๆ และเวลาที่เขาทำอะไรสักอย่าง เขาดูจริงจังกับมันมาก ราวกับว่าทุกๆเรื่องที่เขาทำนั้น มันสำคัญไปหมดซะทุกเรื่อง เส้นผมของเขาที่กำลังสั่นเล็กน้อย มันช่างเหมือนดั่งภาพในหนังแอนนิเมชั่นที่มีชีวิตชีวาและเงียบสงบ

พอเขารู้สึกตัวว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ แล้วเขาก็ยักคิ้วให้ “มีอะไรติดบนหน้าผมงั้นเหรอ?”

“เปล่าๆ ฉันกำลังสังเกตหน้าคุณอยู่”

“ทำไมล่ะ?”

“ภาพที่ฉันวาดให้คุณรอบที่แล้ว มันยังวาดไม่เสร็จเลย ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ฉันต้องเก็บให้หมด”

“งั้นคุณก็สังเกตไปสิ!” ยากนักที่เขาจะใจดีกับฉันแบบนี้ พอเขาช่วยทาเซรั่มให้ฉันเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองที่ฉัน ฉันสบสายตากับเขา ถึงแม้ว่าเวลานี้ตัวเขาจะสงบลงหน่อยแล้ว แต่ว่าตัวของฉันในตอนนี้ก็ยังมีอาการสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนเดิม

ฉันพยายามหลบสายตาของเขา “คุยอะไรสักหน่อยสิ!”

“อือ” เขาตอบตกลงอย่างดี “ผมถามคุณนะ ครั้งแรกที่เจอผมกับป๋ออวี่ ในใจของคุณคิดอะไรอยู่?”

“ความจริงแล้วคุณเป็นคนหนึ่งที่มีจิตใจที่หวาดกลัว” ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงรู้สึกว่าตัวเองเกิดกล้าหาญขึ้นมา กล้าพูดในเรื่องที่ไม่เคยกล้าพูดมาก่อน

และเขารู้สึกสนใจสิ่งที่ฉันพูดอย่างที่คิดไว้เลย พุ่งตัวมาจับคางฉันแล้วพูดขึ้นมาว่า “ว่ายังไงนะ?”

“คุณกลัวหลายๆสิ่ง อย่างเช่นกลัวความเดียวดาย กลัวที่จะต้องสูญเสียอะไรไป กลัวปมในวัยเด็ก”

“ปมในวัยเด็ก?” เขาจ้องมองฉัน

เมื่อกี้ฉันพูดอะไรออกไปอย่างสบายใจเกินไป ไม่ทันได้ระวังคำพูดจึงหลุดสี่คำนี้ออกมา ฉันจะหักหลังสีจิ่นยวนไม่ได้นะ ฉันขยี้จมูก “คุณกลัวสัตว์เล็กและกลัวตุ๊กตาไหมพรม ฉันเลยเดาเอาเองว่า น่าจะเป็นเพราะปมในวัยเด็ก”

“คุณดูซีรี่ย์เกาหลีเยอะไปละ” น้ำเสียงที่ไม่เห็นด้วยของเขา

มันคือเรื่องปกติที่เขาจะไม่ยอมรับมัน ฉันยักไหล่เพื่อแสดงว่าพูดจบแล้ว

“แล้วอยากรู้ไหมว่าในสายตาของผมคุณเป็นคนยังไง?”

“ยังไงคุณก็ไม่พูดฉันในทางที่ดีหรอก”

เขาหัวเราะออกมา “คุณนี่ยังมีญาณทัศนะที่รู้ตัวเองดีอยู่นะเนี่ย แล้วยังอยากจะฟังอีกไหมล่ะ?”

“ข้อเสียของฉันมันเยอะมาก แต่ฉันก็มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่งคือมีใจที่แข็งแกร่ง แล้วแต่คุณจะพูดอะไรฉันรับได้หมดทุกอย่าง” ไหนๆฉันก็ถูกเซียวหลิงหลิงและแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งมาตั้งแต่อายุสิบหกปี มันไม่มีคำพูดไหนที่ฉันรับไม่ไหวอีกแล้วล่ะ?

“คุณเข้าใจผิดแล้ว” มือทั้งสองข้างของเขายันไว้ตรงหัวเข่า เขาทำตาหรี่แล้วมองที่ฉัน “คุณไม่ได้มีใจที่แข็งแกร่งหรอก คุณเป็นคนอ่อนแอ แต่มีความอดทนมากกว่า และสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้คุณรับมันไว้ทุกอย่าง คุณเป็นแค่ถังขยะที่ไม่รู้จักต่อต้านและปฏิเสธมัน คนอื่นจึงเอาขยะทั้งหมดมาทิ้งลงที่คุณหมด”

เอาเถอะ ฉันยอมรับมัน เขาพูดถูกทุกอย่าง

แต่ว่า ฉันจะโต้แย้งเพื่อตัวเอง “ตอนที่ฉันอายุยังน้อยคุณแม่ของฉันก็ป่วยแล้ว ท่านเป็นห่วงฉันเรื่องการใช้ชีวิตในอนาคตมาก กลัวว่าฉันจะไปบ้านคุณพ่อแล้วก่อความวุ่นวาย ฉะนั้นท่านจึงบอกฉันให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนเหล็ก สิ่งที่แม่เลี้ยงกับเซียวหลิงหลิงทำกับฉันทุกอย่างนั้น ฉันจะต้องกั้นมันอยู่นอกแผ่นเหล็กของฉันให้หมด ที่ฉันเงียบไม่ได้แปลว่าฉันยอมรับมัน ฉันเก็บมันไว้ในใจไม่ใช่ว่าฉันอ่อนแอ ฉันรู้ว่าเซียวหลิงหลิงเป็นคนโยนปากกาที่คุณพ่อซื้อให้ฉันทิ้งทุกครั้งและยังทำลายการบ้านฉันอีกด้วย แต่ถ้าฉันบอกคุณพ่อไปคิดว่าหล่อนจะเป็นอย่างไงล่ะ หล่อนจะโดนคุณพ่อฉันตีเกือบตายและจะโดนลงโทษโดยการงดให้เงินใช้เป็นเวลาสามเดือน แล้วยังต้องขัดภูเขาจำลองเพื่อเป็นทำโทษอีก”

“แล้วทำไมคุณไม่ทำล่ะ? โดนทำโทษหลายๆครั้ง หล่อนก็น่าจะเข็ดแล้วมั้ง”

“ความเคียดแค้นจะถูกฝังอยู่ในใจของหล่อน หล่อนไม่ชอบฉันอยู่แล้วถึงแม้ว่าฉันจะไม่ฟ้องก็ตาม แต่คุณพ่อท่านจะคิดว่าฉันอยู่สุขสบายเกินไป”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)