พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 132

ตอนที่ 132 นายหญิงแก่เฉิน

เมื่อหลิงหลงฮูหยินเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงได้รีบรุดขึ้นหน้าดึงเสี้ยโล่เยว่ออกมาในทันที “อย่าโวยวายเลย นายหญิงแกก็กำลังมองมาทางนี้นะ”

เสี้ยโล่เยว่มองออกไป ก็พบว่านายหญิงแก่เฉินกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ นางกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินและชุยไท่เฟย เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จึงได้พากันมองมาทางนี้พร้อมกัน

ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสี้ยโล่เยว่ออกคำสั่งขับไล่คุณหนูเฉินออกไปพอดี

“คุณแม่ ท่านไม่รู้หรอกว่านางพูดกับข้าเกินไปแค่ไหน” เสี้ยโล่เยว่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม

เฉินฮูหยินเองก็ได้ยินคำพูดของคุณหนูเฉินเช่นเดียวกัน นางจึงได้พูดเสียงต่ำๆว่า “วันนี้เกิดเรื่องขึ้นกระทันหัน คงจะล่วงเกินตระกูลเฉินไม่ได้”

ตระกูลเฉินอยู่ในฐานะนายพล นายหญิงแก่เฉินก็เป็นถึงนายพลหญิงคนแรก เคยเป็นผู้นำกรีธาทัพออกรบเข้าโจมตีแคว้นเป่ยม่อจนย่อยยับราวกับดอกไม้ร่วงโรยสายน้ำไหลเชี่ยวกราก ในตอนที่อ๋องอานชินรับหน้าที่เป็นผู้นำคนแรก ก็อยู่ภายใต้คำบัญชาการของตระกูลนางด้วย

ในระหว่างที่ตระกูลเฉินอยู่ในเมืองปักกิ่ง ก็แทบจะไม่มีการเหตุการณ์ตำแหน่งสั่นคลอนแต่อย่างใด เพราะในปีนั้นไท่ฮองไท่เฮาได้ทรงมอบพระนามอริยศักดิ์ให้เป็นนายหญิงแก่ด้วยตัวพระองค์เอง

ส่วนเฉินหลิ่วหลิ่วคุณหนูตระกูลเฉินผู้นี้ก็เป็นหลานสาวสุดท้องของนายหญิงแก่ เพิ่งจะอายุครบ 18 พรรษาในปีนี้ และยังไม่ได้หมั้นหมายแต่อย่างใด แต่หลังจากที่ได้เห็นจวนแม่เทพใหญ่ ก็รู้สึกถูกใจเซียวโธ่ แต่เพราะเซี่ยวโธ่ไม่ยอมคุยเรื่องนี้มาโดยตลอด จึงอยู่ที่นี่ต่อ

แต่ไหนแต่ไรมานายหญิงแก่เหยียดหยามการเข้าร่วมประชุมเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ช่วง1-2ปีมานี้ งานเลี้ยงเล็ก ๆนางกลับพาเฉินหลิ่วหลิ่วไปเข้าร่วมด้วยตลอด เพื่อหาสามีให้นาง

เมื่อเห็นนายหญิงแก่ ดวงตาที่อ่อนล้าจนแทบจะบอด แต่นางก็พูดไว้ว่าก่อนตาย ก็ขอให้ได้เห็นเฉินหลิ่วหลิ่วได้ออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน

คุณหนูตระกูลสูงส่งที่พูดคุยติฉินนินทากันเมื่อสักครู่เหล่านั้นต่างก็พาทยอยกันแยกย้ายไป ใคร ๆก็ไม่อยากล่วงเกินเฉินหลิ่วหลิ่ว เพราะต่างก็รู้ถึงกิตติมศัพท์นิสัยของนางเป็นอย่างดี เวลาพูดก็แสนจะโหดร้ายจนยากที่จะฟังได้ ไร้คุณสมบัติสิ้นดี

เฉินหลิ่วหลิ่วส่งเสียงหึออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปในศาลา แล้วนั่งลงตรงหน้าของหลีโม่

นางจึงนั่งพิจารณาหลีโม่ ลูกตาที่ดำสนิททั้งสองข้าง สีดำดุจดั่งเม็ดลำไย คิ้วที่ดกดำทั้งสองข้างก็โค้งมนได้รูป “ข้าชื่อเฉินหลิ่วหลิ่ว ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ต้องไปสนใจคำพูดอะไรของคนเหล่านั้นหรอก ปากของคนเหล่านั้นเหม็นเน่าจะตายไป”

นางพูดปลอบใจหลีโม่

หลีโม่จึงได้ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบใจเจ้ามาที่ช่วยออกหน้าให้”

“ไม่เป็นไร ข้าอยากจะสั่งสอนพวกนางนานแล้วละ” เฉินหลิ่วหลิ่วยังคงมองไปทางหลีโม่อยู่ตลอด ราวกับค้นพบว่าหลีโม่เป็นสิ่งที่น่าสนุกอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่จ้องมองไม่ละสายตา จนหลีโม่รู้สึกแปลกประหลาดที่นางจ้องมองมา

“ใบหน้าของข้ามีอะไรติดอยู่หรือ?” หลีโม่แตะไปบนใบหน้าพร้อมกับถามนาง และเป็นการตักเตือนอยู่นัยๆว่าการที่นางจ้องมองเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ

“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเจ้านั้นงดงามมากกว่าเมื่อก่อน” เฉินหลิ่วหลิ่วพูด

“เมื่อก่อน?”

“ใช่ ข้ามายังจวนเฉิงเสี้ยงของพวกเจ้าหลายครั้งแล้ว และก็เคยเห็นเจ้ามาก่อน ทุกครั้งที่มา ก็มักจะเห็นเสี้ยโล่เยว่และคุณหนูเหล่านั้นรังแกเจ้าอยู่เสมอๆเลย”

หลีโม่ยักไหล่พร้อมพูดว่า “พวกนางพูดอะไร ข้าไม่สนใจหรอก”

“ข้าเองก็ไม่สนใจ แต่เวลาที่เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ก็น่าจะด่าโต้กลับไปสักหน่อยนะ” เฉินหลิ่วหลิ่วพูดอย่างสมเหตุสมผล

หลีโม่ยิ้มออกมา นางชอบแม่นางที่ตรงไปตรงมาและหยาบกระด้างผู้นี้จริงๆ

เฉินหลิ่วหลิ่วจึงได้พูดอีกครั้งว่า “เจ้าก็ควรระวังเสี้ยโล่เยว่และเสี้ยฟางเอ๋อร์ไว้ดีๆละ ยายสาวแก่หน้าเหม็นสองผู้นี้ร้ายกาจจะตาย ข้าละอยากจะเอาอุจจาระปาใส่นางตั้งหลายครั้ง!”

หลีโม่เบิกตากว้าง “เจ้าพูดจริงหรือ?”

เดี๋ยวนะ เฉินหลิ่วหลิ่ว คุณหนูตระกูลเฉิน นางคือคุณหนูเฉินที่ซูชิงและมู่หลงเจี๋ยเอ๋ยถึงไม่ใช่หรือ? มู่หลงเจี๋ยมักจะให้เซียวโธ่ไปพบนางอยู่บ่อยครั้ง

“ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่ข้าเกิด มีคนมาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แล้วบอกว่าหากข้ามีอายุครบ 19 ปีแล้วยังไม่ได้ออกเรือน ข้าก็จะสิ้นชีวา ปีนี้ข้าก็ 18 ปีแล้ว เสด็จย่าจึงได้ร้อนใจ?”

“เจ้าเชื่อด้วยหรือ?” หลีโม่ถึงกับหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้

“คำพูดที่ทุกคนพูดนางล้วนแล้วแต่ไม่เคยเชื่อ แต่หากเป็นคำพูดของท่านผู้นี้ นางเชื่อมากเลยทีเดียว” เฉินหลิ่วหลิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าเองก็เชื่อ”

“ท่านผู้นี้คือใครหรือ?” หลีโม่อดที่จะถามเพราะอยากรู้ไม่ได้

“ไท่ฮองไท่เฮา!” เฉินหลิ่วหลิ่วพูดเสียงต่ำๆ

หลีโม่มองไปทางนางด้วยความประหลาดใจ ปีนี้เฉินหลิ่วหลิ่วก็อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ไท่ฮองไท่เฮาน่าจะกุเรื่องที่ว่า “จะถูกฆ่าตาย” เมื่อ 20 ปีก่อน แล้วหายไปโดยที่ไม่รับผิดชอบอย่างแน่นอน

เป็นไปได้ว่า นางอาจจะประทับอยู่บนโดยหานจริง? หลังจากที่จากไปแล้วก็ยังเคยกลับมาด้วยหรือ?

ในขณะที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่นั้น นายหญิงแก่ก็สนทนาอยู่กับชุยไท่เฟยและนายหญิงแก่อีกด้านหนึ่ง

นายหญิงแก่เฉินมาหาสามีให้แก่หลานสาว นางรู้ว่าเส้นสายของชุยไท่เฟยและนายหญิงแก่นั้นกว้างขวางมาก ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นจึงได้ยื่นหน้าเข้ามาสนทนาหัวข้อเกี่ยวกับไอแก่หนังเหนียวกับพวกนาง แต่ในตอนที่เสี้ยโล่เยว่ไล่หลานสาวสุดที่รักออกไปนั้น นางก็เริ่มเย็นชาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

นายหญิงแก่เองก็สังเกตเห็น ที่ตั้งใจเชื้อเชิญนางมาในวันนี้ก็เพราะนายหญิงแก่เฉินและชุยไท่เฟยทั้งสองท่านนี้เป็นคนที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งในเมืองปักกิ่ง การแสดงละครในวันนี้ มีพวกนางทั้งสองเป็นประจักษ์พยาน แล้วยังจะปล่อยให้พวกนาง “กล้าขอความเป็นธรรม” อีก เช่นนั้น จวนเฉิงเสี้ยงจะรักษาหน้าไว้ได้มากน้อยแค่ไหนกัน

เมื่อเห็นว่านายหญิงแก่ไม่สบอารมณ์ ในใจของนายหญิงแก่ก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจ จากนั้นก็จ้องเขม็งไปทางหลิงหลงฮูหยิน เพื่อบอกเป็นนัยๆว่าให้นางดูเสี้ยโล่เยว่ไว้ให้ดี ๆ

หลิงหลงฮูหยินก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่ภายในใจ บุตรสาวของตัวเองถูกคุณหนูเฉินทำสกปรกโสมมใส่เช่นนี้ กลับพูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจไว้เท่านั้น เมื่อเห็นใบหน้าของเสด็จย่าในเวลานี้ ในใจก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เอามากๆไปอีก

อีกทั้งจนถึงบัดนี้หลี่ซื่อก็ยังไม่ออกมา จึงยังไม่รู้ว่าแผนการนี้จะเป็นความจริงได้หรือไม่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม