พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 134

ตอนที่ 134 การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว

นายหญิงแก่เฉินก็พูดว่า “ใช่ นี่มันเกินไปจริงๆ”

นายหญิงแก่เห็นทั้งสองคนต่างก็แสดงอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รู้สึกเหมือนไฟที่กำลังแผดเผาไม่ต่างกัน

นางพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว ที่นี่คนมากมาย เราไปนั่งคุยกันด้านหลังสวนดอกไม้ดีกว่า ข้าเลี้ยงแมวไว้อยู่หนึ่งตัว น่ารักมาทีเดียว อยากไปดูหน่อยไหม?”

ชุยไท่เฟยชอบแมวและสุนัขมากที่สุด เมื่อได้ยินนายหญิงแก่พูกว่าเลี้ยงแมว จึงอยากไปดูทันที “ดีเพคะ ที่นี่คนเยอะเสียงดัง ไปดูแมวสักหน่อยดีกว่า”

หลิงหลงฮูหยินจัดการวางแผนสักเล็กน้อย และก็พบกับเฉินเอ้อมาพอดี

“ฮูหยิน!” เฉินเอ้อมักจะมาตำหนักอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นคนที่อยู่ภายในตำหนักจึงค่อนข้างคุ้นเคยกันมาก เมื่อก่อนหลิงหลงฮูหยินก็มักจะให้เขาไปทำธุระให้อยู่บ่อยๆ เพราะเขามีความรู้มาก นายหญิงแก่จึงชอบใช้เขาให้ไปทำงานให้

หลิงหลงฮูหยินชำเลืองมองไปทางเขา “เดี๋ยวอีกสักครู่ก็รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไรไม่ใช่หรือ?”

เฉินเอ้อหัวเราะ พร้อมพูดออกมาว่า “รู้ รู้แล้ว แต่หลังจากที่เรื่องจบ เจ้าต้องตอบรับเรื่องของข้าด้วย”

“เจ้าวางใจเถอะ เฉิงเสี้ยงต้องนำเงินตรางวดสุดท้ายให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน แต่เจ้าต้องจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนะ มิเช่นนั้น เงินที่กินเข้าไปเจ้าจะต้องอาเจียนมันออกมาแน่” หลิงหลงฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

จริงๆแล้วนางรู้สึกรำคาญเฉินเอ้อมาก เขาเป็นคนที่โลภมาก ในวันที่เหลือแต่เขา เพราะบางทีเรื่องสกปรกโสมมมากมายจึงไม่สามารถโผล่หน้ามาโดยง่าย ต้องให้คนนอกจวนเป็นคนจัดการ แต่หลังจากที่คิดคำนวณเมื่อครั้งที่แล้ว สองสามวันหลังจากนั้นเขาก็มาเอาเงิน

เฉินเอ้อจึงพูดว่า “เขาปฏิบัติตัวเช่นนี้กับหลี่ซื่อ จากนั้นก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้กับเจ้า จงระวังตัวเองไว้ดี ๆ เป็นสามีภรรยากันที่หลับนอนมาตลอดชีวิตก็จริง อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า”

หลิงหลงฮูหยินรีบมองออกไปรอบ ๆตัวทันที ก่อนจะพูดตำหนิด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปว่า “เจ้าไม่รักชีวิตตัวเองแล้วหรือ?หากเรียกข้าให้มาฟังเจ้าพูดจาเช่นนี้ หลังจากนี้ก็ไม่ต้องมา”

เฉินเอ้อพูดเสียงแข็งว่า “อุตส่าห์เตือนเจ้า เจ้าไม่ฟังก็ช่างมันเถอะ”

หลิงหลงฮูหยินไม่อยากพูดคุยกับเขาให้มากความ ถึงอย่างไรก็มีคนมากมายเห็นกันอยู่แล้ว นางจึงโบกมือไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “เอาละ เจ้าไปได้แล้ว”

หลีโม่นั่งมองเฉินอ้อและหลิงหลงฮูหยินพูดคุยกันอยู่ในศาลา และจ้องเขม็งไปทางทั้งสองคนไม่ละสายตาไปไหน

หลังจากที่เฉินเอ้อจากไป นางก็พูดคุยกับเฉินหลิ่วหลิ่วว่า “ขอประทานอภัย ข้าของตัวสักหน่อย!”

เฉินหลิ่วหลิ่วคิดว่าหลีโม่ทอดทิ้งนางเพราะนางหยาบคาย ไม่อยากพูดคุยกับนาง จึงได้จิตใจหดหู่เล็กน้อย “ได้ เจ้าไปเถอะ ข้าชินแล้ว”

หลีโม่หันกลับไปมองนาง ก่อนจะยื่นมือออกไป “เจ้าถือสาที่จะไปกับข้าด้วยหรือไม่?”

ใบหน้าของเฉินหลิ่วหลิ่วได้ปรากฏดอกไม้ที่สดใสขึ้นมาในทันที แทบจะรีบดึงมือของหลีโม่อย่างรวดเร็ว “ไม่ถือสาเพคะ”

หลีโม่มองไปทางรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าของนาง ทำไมถึงได้เป็นแม่นางที่น่ารักเช่นนี้? หากนางเป็นบุรุษ คงจะอดหลงรักไม่ไหวเลยทีเดียวเชียว

“หลีโม่ ข้าชอบเจ้ามาก เจ้าไม่เหมือนกับอุจจาระสุนัขที่เหม็นเน่าเหล่านั้นเลยสักนิด”

“......” ช่างเถอะ นางเก็บความคิดเมื่อสักครู่กลับไป

นางมองไปทางเฉินเอ้อที่กำลังเดินเข้ามาตรงหน้า จึงตั้งใจหันกลับไปคุยกับเฉินหลิ่วหลิ่วว่า “จริงสิ หลิ่วหลิ่ว ปกติแล้วเจ้าชอบเล่นอะไร?”

นางไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับเฉินเอ้อ เฉินเอ้อรู้สึกเจ็บปวดที่แขน เขามองไปทางหลีโม่ ก่อนที่ปากสกปรกโสมมจะคลายออกมาว่า “คุณหนูใหญ่เดินดูทางสักหน่อยก็ดีนะ จะได้ไม่เผลอไปทำร้ายใครอีก”

ครั้งที่แล้วหลีโม่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขารู้ว่าแม่นางผู้ดีต้องไม่ธรรมดา ดังนั้น จึงไม่กล้าล่วงเกินโดยง่าย

ด้วยความที่เขาปะปนร่วมด้วยมานานหลายปี การมองคนย่อมมองละเอียดอย่างแน่นอน ครั้งนี้หากไม่ใช่แพราะเงินทองจำนวนหาศาล เขาไม่ยอมล่วงเกินเสี้ยหลีโม่อย่างแน่นอน

“อื้อ จะรีบไปไหนหรือ?” หลีโม่มองไปทางเขาเล็กน้อย

“งานเลี้ยงวันเกิดเสด็จย่า ให้เหล่านางในมาช่วยจัดการ เรื่องเยอะวุ่นวายเสียจริง คุณหนูใหญ่ก็เดินช้า ๆ ด้วยนะ!” เฉินเอ้อไม่กล้ามองนางหน้า จึงรีบโน้มตัวคำนับเพื่อส่งนางทันที

หลีโม่เองก็ไม่อยากพูคุยกับเขาเท่าไหร่นัก นางจึงรีบดึงหลิ่วหลิวเดินจากไป

เฉินเอ้อมองไปทางแผ่นหลังของทั้งสองคน พร้อมกับยื่นมือออกไปนวดแขนที่บาดเจ็บเล็กน้อย “คุณหนูเฉินมีความแหลมคมทั้งตัวหรืออย่างไร? เวลาชนถึงได้รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มแทงเช่นนี้”

เฉินหลิ่วหลิ่วพูดกับหลีโม่ว่า “คนผู้นี้หน้าตาน่าเกลียดเสียนี่กระไร หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจ”

หลีโม่เงียบเล็กน้อย “เสด็จยายของเจ้า? นายหญิงแก่เฉินหรือ?” นายหญิงแก่เฉินผู้นี้เข้าใจคนอย่างน่าเหลือเชื่อ

“เฉินเอ้อเป็นหลานชายของเสด็จยายข้า เลินเล่อเสียจริง”

เฉินเอ้อ? นายหญิงแก่? นายหญิงแก่ผู้นี้แซ่เฉินหรือ?

“เสด็จยายของเจ้าแซ่เฉินหรือ?”

“พูดเล่นใช่ไหม? เสด็จยายไม่ได้แซ่เฉิน ทำไมถึงได้เป็นนายหญิงแก่เฉินละ?" เฉินหลิ่วหลิ่วกลอกตามองไปทางนางแล้วพูดขึ้น

“เจ้าแซ่เดียวกับยายเจ้าหรือไม่?”

เฉินหลิ่วหลิ่วเอียงคอเล็กน้อย “เหมือนนะ แต่เสด็จปู่ของข้าแซ่เฉิน เสด็จพ่อของข้าก็เลยแซ่เฉิน”

หลีโม่รู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองช่างโง่เขลาเสียจริง ไอหยา สามีภรรยากันจะใช่แซ่เฉินไม่ได้ยังไงกันละ?

นางยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินกับหลิ่วหลิ่ว พร้อมกับมองไปทางหลิงหลงฮูหยินและเสี่ยโล่เยว่ที่ระดมกำลังพากลุ่มคนเดินตรงไปสวนดอกไม้ด้านหลัง ส่วนด้านในจวนที่อยู่ด้านนั้น เฉิงเสี้ยงเสี้ยก็พาเหล่าข้าราชการเข้าไปในตำหนักเช่นเดียวกัน

นางเห็นอ๋องเหลียง พาหญิงงามใส่อาภรณ์สีหลืองอร่ามนางหนึ่ง ใบหน้างดงามเพริศแพร้วเดินเข้ามาด้วย

การเสด็จของอ๋องเหลียงดึงดูดความวุ่นวายไม่ใช่น้อย ถึงอย่างไร อ๋องเหลียงก็รังเกียจจวนเฉิงเสี้ยงอยู่แล้ว จึงไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง

เฉิงเสี้ยงเสี้ยเองก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเช่นเดียวกัน ให้การ์ดเชิญไปตามมารยาทเท่านั้น

อาการประชวรของอ๋องเหลียงก็ยังไม่หายเป็นปกติ ใบหน้าจึงยังคงซีดเซียว แต่เมื่อสวมเสื้อคลุมสีแดง คาดเอวด้วยเข็มขัดทอง สวมมงกุฎไว้หลวมๆ ทำให้การแต่งกายครั้งนี้ของเขาดูเกียจคร้านมากขึ้น

เขาจูงมือลี่เฟยเดินเข้ามาอย่างภาคภูมิใจ เฉิงเสี้ยงเสี้ยเดินนำเข้าไปแสดงความเคารพ

ดวงตาของอ๋องเหลียงทอดมองไปทางทุกคน จนมาหยุดตรงใบหน้าของหลีโม่ จากนั้นก็บอกความนัยๆผ่านทางสายตาไปทางหลีโม่ว่า “ข้าจะมาดูความวุ่นวาย!”

หลีโม่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงมือของเฉินหลิ่วหลิ่วไว้ ก่อนพูดขึ้นเบาไปว่า “หลิ่วหลิ่ว อยากจะดูละครโหมโรงไหม? การแสดงจะเริ่มขึ้นแล้วละ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม