พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 198

ตอนที่ 198 สองบ้านปรองดอง

รถม้าหลายคัน ขับเคลื่อนออกจากจวนเฉิงเสี้ยง

นายหญิงแก่และเสี้ยโล่เยว่นั่งไปด้วยกัน ส่วนเสี้ยเฉิงเสี้ยนั่งไปกับซีเหมินเสี่ยวเยวี่ย ไม่มีใครยอมนั่งกับหลีโม่ หลีโม่ก็เลยให้เย็นเอ๋อร์และเตาเหล่าต้าขึ้นรถมาด้วย

รถม้าของจวนเฉิงเสี้ยงนั้นกว้างมาก ถ้าจะบรรทุกเกินไป2คนก็ไม่มีปัญหา แต่ซีเหมินเสี่ยวเยวี่ยไม่ยอมนั่งกับนายหญิงแก่ นายหญิงแก่เองก็ไม่ยอมนั่งกับนางเช่นกัน ก็เลยต้องเตรียมรถม้า3คัน

แต่ว่า จวนเฉิงเสี้ยงชอบทำอะไรโอเวอร์อยู่แล้ว คนไม่กี่คนออกจากจวนและใช้รถม้าตั้ง3คัน ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

ส่วนเตาเหล่าต้าหลังจากวันที่มาเป็นลูกน้องของหลีโม่ก็เพิ่งเคยนั่งรถม้าเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นครั้งที่2 เขาก็ยังดูตื่นเต้น

เย็นเอ๋อร์มองไปที่เท้าของเขา “คุณหนูใหญ่ซ้อรองเท้าให้เจ้าใหม่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังไม่ใส่? ”

เตาเหล่าต้าเอาเท้าหลบไปไม่ให้มอง แล้วพูดว่า “วันปีใหม่ค่อยใส่”

“ทำไมล่ะ? ” เย็นเอ๋อร์ขำ “เจ้าทึ่มนี่ ปีใหม่ก็มีของใหม่อีก รองเท้าใหม่ ชุดใหม่ ใหม่หมดเลย”

“จริงหรือ? ” เตาเหล่าต้ามองไปที่หลีโม่ด้วยสายตาที่เคารพรัก “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นคนดีจัง เป็นคนที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย อย่างกับพระโพธิสัตว์เลย”

“เจ้ารู้ได้ไงว่าพระโพธิสัตว์ดี ” เย็นเอ๋อร์ขำเยาะเย้ย

เตาเหล่าต้าบอกว่า “พระโพธิสัตว์ก็ต้องดีสิ เพียงแค่ไปที่วัด บนโต๊ะบูชาของพระโพธิสัตว์ก็มีของกินแน่นอน หลวงพ่อในวัดบอกว่า อาหารพวกนั้นของพระโพธิสัตว์เตรียมไว้ให้กับคนไม่มีกิน ใครหิวแล้วไปพบเห็นเข้า ก็สามารถหยิบกินได้”

หลี่โม่ยิ้มเล็กๆ “ถ้าเช่นนั้น หลวงพ่อองค์นั้นคนดี”

“ดีหมด คนดีหมด! ” เตาเหล่าต้าไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจหลักการที่มากมายเช่นนั้น เพราะใครที่ให้ข้าวเขากิน ก็นับว่าเป็นคนดีหมด

หลีโม่เข้าใจความคิดของเขา นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องสอนรู้เรื่องมากขึ้น

นางพูดว่า “อาต้า เจ้าฟังข้านะ ในโลกใบนี้ มีคนร้อยพ่อพันแม่ต่างๆนานา คนที่ให้ข้าวเจ้ากิน ไม่แน่ว่าจะเป็นคนดี เราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี”

“แยกแยะผิดชอบชั่วดี?” เตาเหล่าต้าเงยหน้ามองหลีโม่ “แม่ข้าก็เคยพูดการแยกแยะผิดชอบชั่วดีกับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

ดังนั้น ตลอดทางที่จะไปจวนโก๋กง หลีโม่ก็สอนการแยกแยะผิดชอบชั่วดีให้กับเตาเหล่าต้า เนื่องจากเตาเหล่าต้าเป็นคนซื่อไร้เดียงสา ดังนั้นเขาจึงฟังสิ่งที่หลีโม่สอน

ตอนที่ถึงจวนโก๋กง เขาพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ภ้าคนดีให้ข้าไปตีคนชั่ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้าวให้ข้า ข้าก็ต้องไปช่วย ถ้าคนชั่วให้ข้าไปตีคนดี ถึงแม้ว่าจะให้ข้ากินเนื้อ ข้าก็ไม่ควรไปทำ”

หลีโม่มอง “ประมาณนี้แหละ”

เอาเถอะ จะให้เขาเข้าใจทุกอย่างในโลกนี้ ต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์

นางดีใจมากที่ซือถูเย้นไปพบอาต้าเข้า ไม่งั้นละก็ ด้วยพละกำลังและวรยุทธของอาต้า ถ้าไปตกอยู่ในมือของคนชั่ว คงแย่น่าดู

ตอนที่เตาเหล่าต้าลงรถนั้น ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “คุณหนูใหญ่เป็นคนดี คุณหนูใหญ่ให้ข้าไปตีใคร ข้าก็ไป”

คำพูดนี้ถูกใจเย็นเอ๋อร์มาก ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ต้องแบบนี้แหละ เจ้าฉลาดมาก”

เตาเหล่าต้าหัวเราแบบทึ่มๆ มีสายตาที่ซาบซึ้ง ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยได้รับการชมเชยจากใครเลย เขาชอบมาก

หน้าประตูจวนโก๋กงมีคนมายืนต้อนรับเขยคนใหม่ พรมแดงถูกปูยาวมาจากประตูด้านใน สองฝั่งประตูแขวนไว้ด้วยประทัดยาวเหยียด รอคอยให้เขยคนใหม่และซีเหมินเสี่ยวเยวี่ยเข้าไปแล้วจึงจะจุดขึ้น

พ่อแม่ของซีเหมินเสี่ยวเยวี่ยก็ออกมาต้อนรับหน้าประตู ส่วนฮูหยินใหญ่ของจวนโก๋กง เดิมหลายปีมานี้ไม่ค่อยจะออกไปไหน เพราะว่านางมีร่างกายที่อ่อนแอและความเอาแต่ใจของนาง ก็เลยไม่สามารถเป็นกำลังหลักของบ้านได้ ก็เลยต้องให้ภรรยารองอย่างเหลียงซื่อออกหน้าแทนบ่อยๆ

“คำนับท่านพ่อตาและแม่ยาย!” เสี้ยเฉิงเสี้ยงก้าวเข้าไปทำความเคารพ วันนี้เขาตั้งใจแต่งตัวมาก ดูเหมือนว่าจะหนุ่มขึ้นหลายปีเลย ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาและพ่อตาจะมีอายุห่างกันไม่มาก แต่วันนี้ดูไปดูมาเหมือนว่าจะห่างกันมากอยู่

“ข้ารับทราบ ” เตาเหล่าต้าตอบ

การตกแต่งของจวนโก๋กงดูเหมือนว่าจะหรูหรามากกว่าจวนเฉิงเสี้ยง มีกลิ่นอายของความเป็นตระกูลชั้นสูงแห่งราชวงศ์จิ้น แต่สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ ของส่วนใหญ่ในจวนมักจะเก่าแก่มาก นอกจากส่วนห้องโถงใหญ่แล้ว พวกตึกศาลาต่างๆไม่เคยได้ซ่อมแซมเลย

ห้องโถงหลักหันหน้าออกมานอกบ้าน ปลูกต้นโบ๋ตั๋นไว้หลายกระถาง ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงดอกไม้บาน แต่ก็ดูแลความสะอาดอย่างดี ข้างๆโบตั๋นก็เป็นแปลงของสมุนไพรจีน ตามทางเดินก็ประดับไปด้วยดอกดาดตะกั่ว

ขั้นบันไดหยกขาวมีรอยแตกหักมากมาย ถึงจะให้คนมาขัดแล้วแต่ก็ยังมีรอย

ในห้องโถงหลักมีอาวุโสของตระกูลจิ้นโก๋กงนั่งอยู่ด้านในแล้ว ซีเหมินไท่ป่าวถูกเชิญให้นั่งเป็นประธาน

หลีโม่มองเข้าไป เห็นเขาทั้งเส้นผมหนวดเคราล้วนขาวโพลน ใส่ชุดผ้าต่วนสีกรมท่า ถึงแม้จะดูเก่าไปนิด แต่ก็สะอาดและมีระเบียบมาก

สีหน้าเคร่งขรึม สายตาเฉียบคม นั่งตรงมุมนั้นไม่ต้องทำอะไรมีคนเข้าไปทำความเคารพ

ที่เป็นความนิ่งสงบที่ผ่านการตกตะกอนของการผ่านช่วงชีวิตต่างๆมาในโลกใบนี้ คนทั่วไป ไม่สามารถแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาได้

ก็เหมือนกับซือถูเย้น ถึงแม้เขาจะนั่งเล่นธรรมดาบนเก้าอี้ และใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงการฆ่าและกองกำลังทหารม้า

มาดของเขา ได้รับการฝึกฝนมาจกสนามรบ

หลังจากที่ทุกคนนั่งลง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการทักทาย

ซีเหมินไท่ป่าวและเสี้ยเฉิงเสี้ยงก็กล่าวขึ้นไม่กี่คำ ถามไถ่สภาพโดยทั่วไป เสี้ยเฉิงเสี้ยงตอบได้ดี ไท่ป่าวพอใจมาก

และใขขณะที่ปรองดองกันดีอยู่นั้น เหลียงซื่อก็เดินเข้ามา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม