ตอนที่ 353 หลิ่วหลิ่วบาดเจ็บ
อ๋องเหลียงอยากจะดึงมือของตนกลับมา ทว่าอี้เออร์กลับจับแขนของเขาไม่ปล่อย ท่าทางของนางดูดีใจไม่น้อย
อ๋องเหลียงได้แต่พูดว่า “เอาล่ะอี้เอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ข้ายังมีธุระต้องทำ รอข้าทำธุระเสร็จแล้วข้าจะไปเล่นกับเจ้านะ”
อี้เอ๋อร์ปล่อยเขาแล้วพยักหน้าแรงๆ “ก็ได้ ท่านรีบเข้าไปเถอะ องค์หญิงกำลังรอให้ช่วยชีวิตอยู่”
อ๋องเหลียงมองนางอย่างลึกซึ้ง พูดเสียงต่ำว่า “ลาก่อน!”
พูดจบ เขาก็พาบ่าวรับใช้เข้าไป
อี้เอ๋อร์ชอบมองเขาเดินเข้าไปมาก เดิมทีก็คิดจะกลับแล้ว แต่คิดได้ว่าไม่ได้เจอเขามาเป็นเวลานาน มิสู้อยู่รอเขาออกมาได้พูดคุยกันเสียหน่อยดีกว่า ดังนั้น นางจึงนั่งลงบนบันไดหิน เพื่อรออ๋องเหลียงออกมา
เหตุการณ์นี้ล้วนอยู่สายตาขององค์รัชทายาท
เขามาช้ากว่าอ๋องเหลียงครู่หนึ่ง เพราะฮองเฮาเรียกให้เขามา ตอนที่เขาไม่มีที่จะไป ก็จะมาที่นี่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปทำงาน
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นคนไร้ประโยชน์นั่นใช้สายตาเช่นนี้มองสตรีที่ไหนมาก่อน ลึกๆ เขาคิดว่า สตรีผู้นี้ต้องมีความหมายที่ไม่ธรรมดากับเขาแน่นอน
“รู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?” เขาถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
องครักษ์มองนางครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สตรีผู้นี้เหมือนจะเป็นหญิงชาวบ้านที่อ๋องเหลียงได้รู้จักก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ ภายหลังก็ได้ยินว่าอ๋องเหลียงเข้าวังไปบอกฮองเฮาว่าอยากจะสู่ขอหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งอภิเษก แต่กลับถูกฮองเฮาด่ากลับมา คนผู้นั้นน่าจะเป็นนางผู้นี้ เมื่อครู่ได้ยินอ๋องเหลียงเรียกนางว่าอี้เอ๋อร์ สตรีผู้นี้น่าจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของอ๋องเหลียงนะพ่ะย่ะค่ะ ”
“อ้อ? นางก็คืออี้เอ๋อร์ผู้นั้นงั้นหรือ?” องค์รัชทายาทตรัสออกมาอย่างมีความหมายที่ลึกซึ้ง
เขาลงมาจากรถม้าแล้วเดินเข้าไป ตะโกนไปหาอีเอ๋อร์ “อี้เอ๋อร?”
อี้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่องค์รัชทายาท เอ่ยถามกลับไปทันที “เจ้าเรียกข้างั้นหรือ?”
“ก็ข้าเรียกเจ้านั่นแหละ เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?” องค์รัชทายาทพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
อี้เอ๋อร์คิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้จักเจ้า”
องค์รัชทายาทยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า พี่ชายของข้าพูดถึงเจ้าอยู่เสมอ”
“พี่ชายเจ้าเป็นใครกัน?”
องค์รัชทายาทตรัสว่า “ก็คือคนที่เดินเข้าไปเมื่อครู่นี้อย่างไรล่ะ เขาไม่เคยพูดถึงน้องชายอย่างข้าให้เจ้าฟังเลยหรือ?”
องค์รัชทายาทถามเช่นนี้ ดูเหมือนจะเสียใจอยู่บ้าง
อี้เอ๋อร์ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยความอ่อนโยนว่า “ไม่ๆ เขาเคยพูด เขาพูดถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ”
ความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น ทว่าอี้เอ๋อร์เห็นท่าทางของเขาเหมือนเสียใจมาก จึงเอ่ยปลอบใจเขาขึ้นมา
องค์รัชทายาทยิ้มแย้มขึ้นมา “จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเราไปหาที่กินของอร่อยรอเขาออกมาดีหรือไม่?”
อี้เอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง “ข้ารอเขาออกมาอยู่ที่นี่จะดีกว่า”
องค์รัชทายาทตรัสอย่างไม่ดีใจนัก “ไม่ให้เกียรติงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครชอบเล่นกับข้าอยู่แล้ว”
อี้เอ๋อร์เห็นหน้าลำบากใจของเขา จึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก นางรีบโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ แต่ข้าไม่รู้จักเจ้า ข้าจะไปกับเจ้าตามลำพังไม่ได้ ท่านแม่ข้าต้องด่าข้าแน่นอน”
องค์รัชทายาทชี้ไปที่องครักษ์บนรถม้า “เจ้าดูสิ บนรถม้ายังมีคนอยู่ จะไปกันตามลำพังได้อย่างไร? อีกอย่าง เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเข้านะ เจ้าเองก็รู้จักพี่ชายของข้า พวกเราก็นับว่ารู้จักกันแล้ว จริงหรือไม่? อีกอย่าง พวกเราก็ไม่ได้ไปไหนกัน แค่ไปหาที่นั่งพูดคุยกันเล็กน้อย รอพี่ชายของข้าออกมาเท่านั้น”
อี้เอ๋อร์คิดครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ได้ พวกเราไปหาที่นั่งรอเขาก็ได้ รออยู่หน้าประตูก็ไม่ดีเท่าไหร่ มีคนเดินไปเดินมาตลอด”
และแล้วอี้เอ๋อร์ก็ขึ้นรถม้าของเขาไป
แต่อี้เอ๋อร์ก็ขี่ม้ามาถึงพอดี เขาเห็นสตรีผู้หนึ่งไม่ชัดเจนเท่าไหร่นักกำลังขึ้นรถม้าขององค์รัชทายาทไป จากนั้นก็ตะลึงงันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แผ่นหลังนั่นดูเหมือนอี้เอ๋อร์อยู่บ้าง
หลีโม่รู้ตัวว่าตัวเองผิด “ข้าขอโทษ เรื่องนี้อันที่จริงก็ไม่มีทางจะบีบบังคับอะไรได้ เรื่องของความรู้สึก คนนอกไม่สามารถก้าวก่ายได้”
“ข้าชอบเจ้าเด็กเซียวโธ่ผู้นั้นยิ่งนัก แต่เมื่อไม่มีวาสนาต่อกัน ข้าเองก็ไม่อยากจะบังคับ เจ้าช่วยข้าพูดโน้มน้าวเจ้าเด็กคนนี้ก็พอแล้ว ให้นางตอบรับข้า รีบออกเรือนไปซะ”
หลีโม่กล่าวว่า “แต่หลิ่วหลิ่วเองก็ดื้อรั้นไม่น้อย ก่อนหน้านี้นางเคยบอกกับข้าว่าในหัวใจของนางมีแต่เซียวโธ่ นางไม่จะยอมออกเรือนไปกับชายใด”
“มีอะไรที่มันสำคัญไปกว่าชีวิตตัวเองอีกหรือ?” เหล่าไท่จูนหน้านิ่วคิ้วขมวด “แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้สึกอะไร วันข้างหน้ามันก็จะเกิดขึ้นมาเอง ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่”
หลีโม่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด กล่าวเตือนไปว่า “เหล่าไท่จูน ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อคำพูดเหล่านั้นก็ได้ ที่ว่าไม่ออกเรือนก็จะตาย มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
เหล่าไม่จูนมองนางด้วยสายตาอันแหลมคม “เจ้ามีสิทธิ์พูดคำนี้หรือ? ไม่สมเหตุสมผลอะไรกัน? เรื่องของเจ้าถึงจะสมเหตุสมผลอย่างนั้นหรือ? เหตุใดเรื่องของเจ้ามีเหตุผลแต่คนอื่นไร้เหตุผลเล่า? เจ้าพูด
เช่นนี้เดิมทีก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว!”
หลีโม่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ นางเงยหน้าขึ้นไปมองเหล่าไท่จูน นางรู้อะไรมา?
เหล่าไท่จูนลุกขึ้นยืนจากนั้นก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าไม่เคยขอร้องใครมาก่อน ตอนนี้ก็นับว่าขอร้องเจ้าก็แล้วกัน ช่วยพูดโน้มน้าวเจ้าเด็กผู้นี้ นางจะต้องออกเรือน ข้าเองก็อายุมากแล้ว คงรับความสะเทือนใจที่คนแก่ผมขาวต้องมาส่งคนผมดำไม่ได้ หากต้องเป็นเช่นนั้นมิสู้มาเอาชีวิตของข้าไปเลย ทุกวันนี้ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
หลีโม่ลำบากใจยิ่งนัก หากบอกว่าเจ้าเด็กเซียวโธ่ผู้นี้หัวใจ ก็ยังพอจะบังคับได้หน่อย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่?
หลีโม่รู้ตัวว่านางสามารถมองความคิดของคนมากมายออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่ากับเจ้าห่านซื่อบื้อเซียวโธ่ที่มีจิตใจไร้เดียงสา นางกลับมองเขาไม่ออกเลยจริงๆ
นางถอนหายใจออก “ไม่ลองให้จิ้งโก๋วเหาบังคับเขาดูล่ะ? แต่เรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ ความจริงแล้วมันก็บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อเหล่าไท่จูนได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองนาง เหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
หลีโม่มองไปที่นาง พลันรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ท่านคงไม่ได้คิดจะให้จิ้งโก๋วเหาไปบังคับเขากระมัง? แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน หากสำเร็จก็จะเป็นการทำร้ายพวกเขาไปตลอดชีวิตนะ”
เหล่าไท่จูนพูดตรงๆ ว่า “ใครสนว่าแตงจะหวานไม่หวานกัน? แค่มีแตงก็พอแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...