บทที่ 556 ถูกเพิกเฉย
ซือถูเย้นพูดว่า “ฉินโจวเป็นนักรบคนหนึ่ง ตระกูลฉินของนางถูกยกให้เป็นเทพในเป่ยม่อ เป็นเพราะเป่ยม่อให้ความสำคัญกับการต่อสู้ นั่นก็หมายความว่า มีการสู้รบ ตำแหน่งของนางก็จะยิ่งสูง เจ้าคิดว่านางจะยอมตกลงถอนทัพหรือ? นางกลัวไม่ได้สู้มากกว่า เพราะตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ ลูกหลานก็เยอะ มีเรือนหลังหนึ่งอยู่ที่เมืองอาวุธพอดี คนทั้งเรือนนี้มีคนมากกว่าครึ่งที่ติดโรคระบาด ฉินโจวเป็นคนหนึ่งที่เห็นความสำคัญของวงศ์ตระกูลมาก ดัวนั้นนางจึงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของอ๋องฉี และพูดอีกอย่างก็คือ พวกยึดมั่นทำสงครามก็มีนางเป็นผู้นำ ไม่เพียงมีแต่อ๋องเจิ้นโก๋กับฉาวฮองเฮา อีกอย่าง ฉาวฮองเฮาก็เป็นญาติลูกพี่ของนาง”
ซือถูเย้นพูดเสร็จ ความกระตือรือร้นในใจทุกคนที่มีขึ้นมาเพียงน้อยนิดก็ดับลงอีกแล้ว ช่างน่าเศร้า
พวกเขาถูกอ๋องฉีซื้อขายอย่างหมู เจ็บปวดใจ
โกรธ
โกรธ
โกรธ
แต่โกรธยังไง ก็กลับไปไม่ได้แล้ว พวกเขามาพร้อมกับพระราชโองการของฮ่องเต้ มาพร้อมกับความเฝ้าปรารถนาของประชาชนต้าโจว มาพร้อมกับความเฝ้ารอคอยของประชาชนเป่ยม่อ
เป็นคนดีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุด ก็คือการพูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรมกับคนอื่น คนอื่นจะเห็นว่าเจ้าโง่
แต่สิ่งที่ทำให้ยิ่งต้องโกรธ ยังมีอีกด้านหลัง
อ๋องฉีเข้าวังไปเข้าเฝ้า ฮ่องเต้กับฉาวฮองเฮาให้เขาเข้าเฝ้าในห้องพระอักษร คนที่อยู่ด้วย ยังมีองค์รัชทายาท
อ๋องฉีตกใจ “องค์รัชทายาทสมควรออกเดินทางไปเป่ยม่อแล้วไม่ใช่หรือ?”
เขาได้รับปากกับฮ่องเต้ประเทศต้าโจวแล้ว องค์รัชทายาทจะรีบเดินทางไปต้าโจว ตอนนี้ทำไมยังไม่ไป ภายหลังฮ่องเต้คิดว่าเขาพูดกลับคำ งั้นสถานการณ์ก็คงไม่ดีแน่
องค์รัชทายาทหัวเราะ “เสด็จลุง ไม่ต้องแปลกใจ น้องเจ็ดได้ออกเดินทางไปแล้ว”
“ฉู่โยว่?” อ๋องฉีงงไปหมดแล้ว “ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ? เป็นองค์รัชทายาทที่ต้องไปเป็นตัวประกัน”
ฉาวฮองเฮาอมยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เราพูดตกลงกันแต่แรกแล้ว หากสามารถเชิญอ๋องอานหรานของต้าเหลียงมา ถึงจะให้องค์รัชทายาทไปเป็นตัวประกันที่ต้าโจว”
“หากอ๋องอานหรานมาได้ ยังต้องให้องค์รัชทายาทไปอีกหรือ? ฮองเฮาเหนียงเหนียง พวกเรารับปากกับฮ่องเต้ต้าโจวแล้วนะ ว่าจะส่งองค์รัชทายาทไป” อ๋องฉีรู้สึกไม่ดีเลย
“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว” ฉาวฮองเฮายังคงยิ้ม สีหน้าเรียบเฉย “ข้ากับฮ่องเต้ไม่เคยพูด”
“ฮ่องเต้” อ๋องฉีรีบเงยหน้ามองดูฮ่องเต้
ฮ่องเต้เป่ยม่อปีนี้อายุห้าสิบสาม แต่ดูแลตัวเองอย่างดี ดูแล้วก็เหมือนเพิ่งสี่สิบต้นๆ เขาสวมชุดคลุมมังกรสีดำ นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้สึกอะไรกับความร้อนใจของอ๋องฉี พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ฮองเฮาบอกว่าเจาฟังผิดไปแล้ว งั้นก็ฟังผิดไปแล้ว แต่ว่าก็ไม่เป็นไร เป่ยม่อไม่เคยมีใครเคยเห็นองค์รัชทายาท ต่อให้ฉู่โยว่ไปแล้ว คนของต้าโจวก็ดูไม่รู้ ผิดก็ผิดแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง”
“ฮ่องเต้” ครั้งนี้อ๋องฉีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้จริงๆแล้ว “จะไม่มีคนเคยเห็นองค์รัชทายาทได้อย่างไร? มีเหล่าขุนนางต้าโจวหลายคนเคยเห็นองค์รัชทายาท ไม่ว่าคนอื่น แค่เซียวเหาเย๋กับเฉินไท่จูน ต่างก็เคยเห็นองค์รัชทายาท”
“เซียวเหาไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ได้นำทัพออกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเฉินไท่จูน นางก็อายุมากแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในราชสำนัก ต่อให้ยุ่งเกี่ยว คิดว่าคนแก่อย่างนางคงไม่แก่จนถึงขั้นเลอะเลือนทำให้ทั้งสองประเทศต้องผิดใจกัน ดังนั้น ท่านน้องเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ฮองเฮาจัดการแบบนี้ ข้าพอใจมาก”
“เอาเถิด เอาเถิด” ฮ่องเต้เกิดรู้สึกเบื่อขึ้นมาแล้ว “เจ้าไม่เข้าใจความหมายของฮองเฮาจริงๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจ? ซือถูเย้นคนนี้เป็นถึงใคร? เขาเป็นถึงอ๋องซื่อเจิ้งของต้าโจว และก็เป็นเทพนักรบของต้าโจว สถานะของเขาสูงส่งสำคัญแค่ไหน? หากข้ายังจะยกให้เขาเป็นแขกพิเศษ เขาอยู่ในเป่ยม่อคงจะไม่ตรงเห็นหัวใครแล้วหรือ? เหล่าขุนนางพวกนั้น คงจะพากันไปจนธรณีประตูหัก ภายในราชสำนักของเป่ยม่อ จะให้ใครคนอื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้”
พวกเหล่าขุนนางที่ฮ่องเต้พูดถึง หมายถึงพวกยึดมั่นสันติภาพ ต้าโจวส่งคนมา เห็นได้ชัดว่าอยากที่จะตกลงเงื่อนไขสงบศึก พวกคนของพวกยึดมั่นสันติภาพจะไม่รีบไปพบเขาหรือ?
หากราชสำนักให้ความสำคัญซือถูเย้น จะเป็นการทำให้พวกเขาเข้าใจผิด รู้สึกว่าทางราชสำนักค่อนข้างเห็นความสำคัญในการสงบศึก จะทำให้สูญเสียโอกาสยามรุกสามารถบุกโจมตีได้ก่อน ยามถอยก็สามารถป้องกันเอาไว้ได้ก่อนแล้ว
แต่การเพิกเฉยพวกเขา กลับจะเป็นการบอกกับคนของพวกยึดมั่นสันติภาพว่า หากไม่ถึงที่สุด ราชสำนักจะไม่ตกลงสงบศึก ไม่ถอนกำลังทหาร
แน่นอน หากสามารถรักษาโรคระบาดได้ ก็ค่อยคุยกันอีก แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เสี้ยหลีโม่มาคนเดียว แต่ซือถูเย้นพาเซียวโธ่ซูชิงมาด้วย เป้าหมายไม่ธรรมดา เป่ยม่อจะไม่ก้มหัวก่อนเด็ดขาด
นี่เป็นศักดิ์ศรีของเป่ยม่อ
อ๋องฉีฟังเข้าใจความหมายของฮ่องเต้แล้ว และก็รู้ว่าเขาจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ จึงพูดอย่างค่อนข้างไม่พอใจว่า “ในเมื่อฮ่องเต้กับฮองเฮาคิดเช่นนี้แล้ว งั้นข้าก็ขอตัว”
เขาถึงขั้นไม่แม้แต่จะถวายความเคารพ หัวตัวแล้วก็ก้าวเท้ายาวๆออกไปเลย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่มีมารยาทแล้ว หลายปีมานี้ ยกเขาสูงเกินไปแล้ว ครั้งนี้ต้องถือโอกาสกดเขาลงหน่อย เขาจะได้รู้ถึงสถานะของตัวเอง”
ฉาวฮองเฮาค่อยๆหัวเราะ “ฮ่องเต้อย่าโกรธเลย จะไปเสียอารมณ์กับเขาทำไม? อ๋องฉีเป็นคนซื่อตรง คิดว่าซือถูเย้นกับเสี้ยหลีโม่มาเพื่อช่วยรักษาโรคระบาดจริงๆ แต่เขาไม่เข้าใจ หากแค่มารักษาโรคระบาด เสี้ยหลีโม่มาคนเดียวก็พอแล้ว ซือถูเย้นจะตามมาทำไม?”
“ความหมายของฮองเฮาก็คือ ซือถูเย้นกลัวเป่ยม่อ ถึงขั้นไม่กล้ารับมาสู้รบ จึงมาขอตกลงสงบศึก? หากเป็นเช่นนี้ ยิ่งเจอไม่ได้เด็ดขาด” ฮ่องเต้เป่ยม่อพูดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...