เจียวเจียว แม่ช่วยเจ้าสะสมแต้มบุญไว้ให้แล้วนะ
จะสะสมไว้ให้เยอะ ๆ จะได้ปกป้องคุ้มครองเจียวเจียวของพวกเราให้มีอายุที่ยืนยาว และมีชีวิตที่แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง
“จริงด้วยฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่พี่สะใภ้ส่งจดหมายมาให้บอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
พี่สะใภ้ใหญ่คนนี้ก็คือภรรยาของพี่ใหญ่ฝั่งตระกูลทางแม่ของฮูหยินเฉียว
ฮูหยินเฉียวได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าดีใจอย่างมาก จึงตอบกลับไปว่า “มาได้จังหวะพอดี ข้าเองก็ไม่ได้เจอกับพี่สะใภ้ใหญ่สักระยะหนึ่งแล้ว”
ในคืนนั้นสิ่งที่ค้นและยึดเอาไว้จากครอบครัวหวาต้าที่ถูกไล่ออกไป ได้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะในห้องหนังสือของเฉียวจงกั๋วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สายตาของเฉียวจงกั๋วกวาดไปมองแผ่นเงินและแผ่นทองเล็ก ๆ พวกนั้น มันถูกวางอยู่บนกล่องไม้ที่ไม่สะดุดตาอะไร
เขาก้มตัวไปเปิดกล่องไม้ ก็เห็นว่ามีเศษกระดาษที่ไม่ใช้แล้วปึกหนา ๆ วางอยู่ข้างใน ลายมือด้านบนกระดาษถูกเขียนอย่างยุ่งเหยิง และมีบางแผ่นมีร่องรอยของการขีดฆ่าเป็นจุด ๆ
เฉียวจงกั๋วแค่มองแวบเดียวก็จำลายมือของลูกชายคนโตได้
ขณะนี้หัวใจของเขากำลังตกใจและในขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีมาก ๆ แต่วินาทีต่อมาก็ต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นความโกรธ
“เรียกคุณชายใหญ่ให้มาพบข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเทียนจิงจึงรีบเร่งฝีเท้ามาอย่างรีบร้อน พอเขาผลักประตูเข้าไป กล่องไม้ก็ถูกโยนลงมาที่ปลายเท้าของเขาดังปัง
“เจ้ามาดูด้วยตัวเองสิ!” เฉียวจงกั๋วรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เฉียวเทียนจิงก้มตัวไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลายเท้าขึ้นมา ในชั่วพริบตาเดียวใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที
ด้านบนกระดาษเป็นคำพูดที่แสดงถึงความไม่พอใจของเขาที่เขียนหลังจากได้เห็นชาวบ้านดำรงชีวิตอย่างทุกข์ยากเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ซึ่งคำพูดที่ใช้นั้นรุนแรงมากและเต็มไปด้วยความเลือดร้อน
หากกระดาษแผ่นนี้ถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีเอาไป และตีความผิดไปว่าเป็นการไม่พอใจในการปกครองของฝ่าบาทและราชสำนัก คงยากที่จะแก้ตัวได้จริง ๆ
เฉียวจงกั๋วเห็นว่าเฉียวเทียนจิงได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว จึงระงับไฟโทสะที่ปะทุอยู่ในใจลงและเอ่ยพูดเสียงเข้มว่า
“เจ้าใหญ่ เจ้าทำตัวสุขุมเสมอมาทำไมถึงไม่เข้าใจหลักการที่ว่าสุภาพบุรุษควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยง?”
“ในใต้หล้านี้กำแพงล้วนมีหู ประตูล้วนมีช่องลมทั้งสิ้น แม้แต่ในบ้านของตัวเอง คำพูดบางอย่างของเจ้าก็ควรเก็บเอาไว้ในท้อง!”
เฉียวเทียนจิงทำหน้าสลด และก้มหน้าน้อมรับคำสั่งสอน
เฉียวจงกั๋วคิดยังไงก็ยังโกรธอยู่ดี ถ้าหากไม่ได้เจียวเจียวคอยเตือน ลูกชายคนโตคงจบชีวิตเช่นนี้เพราะแพ้ภัยตัวเองเสียแล้ว
“คืนนี้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนซะ และเผากระดาษเหล่านี้ด้วยมือของตัวเองทีละแผ่น พร้อมกับถือโอกาสนี้ลองคิดทบทวนตัวเองดูสิว่า โตจนอายุปาเข้าไปสิบแปดปีแล้วยังมีข้อบกพร่องอะไรที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่อีก!”
“เจ้าใหญ่ พวกเราจวนเฉียวดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันก็จริง แต่ก็ควรเตรียมพร้อมรับมือกับภัยอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นตอนที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้เอาไว้อยู่เสมอ”
คำพูดทิ้งท้ายที่เอ่ยพูดมีน้ำเสียงที่หนักแน่นและแฝงให้คิด ถึงแม้เฉียวจงกั๋วจะพูดกับตัวเอง แต่ก็ต้องการพูดให้ลูกชายคนโตฟังด้วย
“จริงด้วยสิท่านพี่ พี่สะใภ้บอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมข้า ไม่แน่ว่าอาจจะพาหนิงเอ๋อร์มาด้วย”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ฮูหยินเฉียวก็ทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “พี่สะใภ้บอกเป็นนัย ๆ กับข้าหลายครั้งแล้วว่านางถูกใจเจ้าใหญ่ของพวกเรา ท่านพี่ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
พอเฉียวเจียวเจียวได้ยินดังนั้น ขนก็ลุกซู่และเหงื่อตกทันที
[ท่านแม่ ไม่ได้นะ! พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าต้องเป็นลูกสาวจากตระกูลของรองเสนาบดีกรมโยธาเท่านั้น!]
[พี่สะใภ้ดีมากจริง ๆ นะ นางกับพี่ใหญ่รักใคร่กลมเกลียวกันมาก ตอนที่ตระกูลเฉียวของพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง พี่ใหญ่ขอให้นางหย่าแล้วกลับบ้านเดิมไป แต่นางก็ยังคงไม่ทิ้งพี่ใหญ่ไปไหน!]
[ฮือ ๆ ๆ ข้าชอบคู่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้คนนั้นจริง ๆ นะ!]
เฉียวจงกั๋วได้ยินเฉียวเจียวเจียวพูดถึงลูกสะใภ้คนนี้ในตอนกลางวันมาบ้างแล้ว และตอนนี้พอรู้ว่าลูกสะใภ้มีความรักและซื่อสัตย์เช่นนี้จึงพอใจอย่างมากถึงมากที่สุด
ฮูหยินเฉียวเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ
รองเสนาบดีกรมโยธา?
นั่นไม่ใช่ลูกสาวของฮูหยินหันหรอกหรือ?
แต่ว่าชื่อเสียงของตระกูลหันไม่ค่อยดีนัก ฮูหยินหันก็มักจะไปไหนมาไหนตัวคนเดียวเสมอ
แต่ว่าในเมื่อเจียวเจียวประเมินลูกสาวตระกูลหันคนนั้นสูงมากเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นจะต้องเป็นแม่นางที่ดีมากอย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาฝ่าลิขิตสวรรค์
จุติใหม่เป็นตัวประกอบในโลกนิยาย คือเรื่องเดียวกัน...
สถานะขี้นว่าเสร็จสิ้น คือไม่มีตอนต่อไปแล้วใช่ไมค่ะ...
รออัพเดทอยู่น๊า...