ภพนี้ตราบภิรมย์รัก นิยาย บท 37

สวีซื่อ พูดอย่างขมขื่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล ถ้าเจ้าไม่ไปเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเจ้าได้”

หลินเมิ่งหวันพยักหน้าและกล่าวว่า “ป้าสะใภ้รองพูดมีเหตุผล คราวหน้าหากจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยเรียกข้าไป ข้าจะแจ้งว่าป้าสะใภ้รองไม่อนุญาตให้ข้าไป”

สวีซื่อกลัดกลุ้มใจ “ข้าบอกเมื่อใดกันว่าไม่ให้เจ้าไป”

หลินฮูหยินใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “เอาล่ะ พูดให้น้อยลงหน่อย”

สวีซื่อหงุดหงิดมาก มองหลินฮูหยินใหญ่ด้วยความไม่พอใจ

หลินฮูหยินใหญ่ชำเลืองมองและกล่าวว่า “เรื่องนี้เกิดจากจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยและข้าคิดว่าจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยจะจัดการเรื่องนี้อย่างดีแน่นอน ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวลือเสียหายออกมา ยิ่งไปกว่านั้นบุตรสาวจวนหลินต้องออกไปอย่างสง่างาม ให้ผู้คนได้เห็นความงดงามของบุตรสาวจวนหลิน”

“งานแข่งขันโปโลในครั้งนี้ เด็กๆทุกคนล้วนไปได้”

“สะใภ้ใหญ่ พรุ่งนี้พาเด็กๆทุกคนออกไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เงินเอาจากเงินกองกลางไปได้”

ประโยคสุดท้าย เป็นการปลอบโยนทุกคน

เมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาของทุกคนต่างก็เป็นประกายอย่างที่คิด

หลินเมิ่งหวันเม้มริมฝีปากและพูดว่า “ท่านย่าให้เมิ่งหวันเป็นคนออกเงินเพื่อซื้อเครื่องประดับและเสื้อผ้าในครั้งนี้เถิดเจ้าค่ะ”

เรื่องในครั้งนี้นางเป็นต้นเหตุ และแม้ว่าจะโยนความผิดให้ฉู่โม่หยวนแล้ว หลินเมิ่งหวันก็ไม่สามารถสบายใจได้

อย่างไรก็ตาม หลินฮูหยินใหญ่ส่ายหัว “ไม่จำเป็น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ”

“พอแล้ว ทุกคนกลับไปได้เมิ่งหวันอยู่ต่อ”

หลินฮูหยินใหญ่โบกมือให้ทุกคน ทุกคนก็ทำความเคารพและจากไปทันที

ก่อนจะออกไปสวีซื่อและหลินซิงโหรวยังมองหลินเมิ่งหวันด้วยความเกลียดชัง

เมื่อทุกคนจากไป ในห้องก็เงียบสงบลงมาก

หลินฮูหยินใหญ่มองไปที่หลินเมิ่งหวันและถามว่า “ตอนนี้ทุกคนจากไปแล้ว เจ้าบอกความจริงกับข้า เหตุใดเจ้าถึงไปที่หอจุ้ยหง”

ค่ำคืนมืดมิดและแสงเทียนสั่นไหวสะท้อนบนแววตาของหลินฮูหยินใหญ่มันเต็มไปด้วยสติปัญญาและความปราดเปรื่อง

หลินเมิ่งหวัน บีบผ้าเช็ดหน้าในมือของนางโดยไม่รู้ตัว

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสารภาพ

ท่านย่าเป็นปราดเปรื่อง มีบางเรื่องหากนางซ่อนไว้ มีแต่จะทำให้ท่านย่ากังวลใจ

นอกจากนี้ เรื่องที่นางไปพบกับฉู่โม่หยวนที่หอจุ้ยหงก็นับว่าประหลาดมาก นางจำเป็นต้องให้หาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ท่านย่า

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลินเมิ่งหวันกำลังเล่าเรื่อง ก็ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงเล็กน้อย

นางปกปิดความจริงเรื่องที่ว่านางแต่งตัวเป็นโสเภณี เล่าเพียงว่าฉู่โม่หยวนพานางไปพบชูยียี โดยหวังจะอาศัยชูยียีจัดตั้งหน่วยข่าวกรอง จากนั้นให้นางมาดูแล

หลินฮูหยินใหญ่ประหลาดเป็นที่สุด “เหตุใดจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยถึงต้องให้เจ้ามาดูแลล่ะ”

“เอ่อ...ข้าคิดว่า ได้รู้ข่าวรอบด้านให้มากขึ้นจะเอื้อประโยชน์ในการทำธุรกิจ จึงทูลเรื่องนี้แก่จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย คิดไม่ถึงจิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยจะนำมาใส่ใจด้วย”

หลินเมิ่งหวันยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่คิ้วของหลินฮูหยินใหญ่ก็ขมวดเข้าหากัน

นางมองที่หลินเมิ่งหวันอย่างกังวล “เป็นเรื่องดีที่จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยใส่ใจเจ้า แต่เจ้าต้องระวังมากขึ้นด้วย”

“เรื่องหน่วยข่าวกรอง ถ้าล้มเลิกไปได้ก็ล้มเลิกเถิด หากวันข้างหน้าพัวพันเข้ากับเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เกรงว่าจะเกิดหายนะ”

แววตาของ หลินฮูหยินใหญ่ฉายความกังวล หลินเมิ่งหวันตอบกลับอย่างน่าเอ็นดู

สองคนคุยกันเป็นเวลานาน หลินฮูหยินใหญ่ท้วงหลินเมิ่งหวันให้ระมัดระวังตลอด ไม่ให้เข้าไปพัวพันเรื่องราชสำนัก

กระทั่งยามไฮ่ หลินฮูหยินใหญ่จึงปล่อยให้ หลินเมิ่งหวันกลับไป

ค่ำคืนนั้นมืดมิด ในที่สุดหลินเมิ่งหวันก็ล้มตัวลงบนเตียง

นางเหนื่อยมากแต่กลับไม่รู้สึกง่วง เพียงแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

ในชาติก่อนแม่นางอู๋เคยจัดงานแข่งขันโปโลหรือไม่นั้น หลินเมิ่งหวันก็ไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย

หลินจื่อยวนไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ นางเม้มปากด้วยความคับข้องใจ ทั้งยังทำความเคารพฝูงชนก่อนแล้วจึงขึ้นรถม้า

รถม้าสามคันออกจากจวนแล้วขับตรงไปยังหอเจินเป่า

เพียงแต่หลี่อี๋เหนียงและหลินเป้ยเหยาที่อยู่ในสวนดอกบัวได้ยินเรื่องนี้เข้าก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอด

หลี่อี๋เหนียงกล่าวอย่างขมขื่นว่า “หลินเมิ่งหวันนังแพศยา! นางรู้วิธีที่จะออกหน้าเพื่อหลินจื่อยวนแล้วเหตุใดนางจึงไม่เรียกให้เจ้าไปด้วย”

“เหยาเอ๋อร์ เจ้าต้องรีบหายป่วย รอเมื่อถึงงานแข่งขันโปโล เจ้าจะต้องเป็นดอกไม้งามท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์อย่างแน่นอน!”

หลี่อี๋เหนียงยกชามยามาให้หลินเป้ยเหยา ใบหน้าของหลินเป้ยเหยาซีดเซียวและในใจกลัดกลุ้ม ทันใดนั้นก็เอื้อมมือออกไปผลักชามยาที่อยู่ข้างหน้านางออกไป

ชามยาแตกละเอียดเสียงดัง “เพล้ง” และกลิ่นของยาขมก็กระจายออกไป

หลี่อี๋เหนียงสะดุ้ง “เจ้าทำอะไรเนี่ย แม่รู้ดีว่าเจ้าโกรธ แต่หากเจ้าไม่ดื่มยาแล้วอาการจะดีขึ้นได้เช่นไร”

“ยาอีกแล้วหรือ ก็เพราะยานี่ ทำให้ข้าดูน่าเวทนาเช่นนี้! แค๊ก แค๊ก แค๊ก”

หลินเป้ยเหยากัดฟันกรอดและไอจนหายใจไม่ออก

หลี่อี๋เหนียงกังวลอย่างมาก รีบประคองหลินเป้ยเหยาเพื่อปลอบโยนนาง

หลินเป้ยเหยา กลับคว้าแขนของนางไว้แน่น

“หลินเมิ่งหวันจะต้องเป็นคนที่ทำร้ายข้าเป็นแน่...ท่านแม่ ท่าน..ท่านไป...ไปหาท่านปู่...ให้ท่านปู่ช่วยข้า...ได้โปรด เรียกท่านหมอ...”

“เป้ยเหยา!” หลี่อี๋เหนียงอุทานด้วยความตกใจ

เมื่อคิดว่าอาการป่วยของ หลินเป้ยเหยา เลวร้ายลงทันทีหลังจากที่หลินเมิ่งหวันมาเยี่ยม นางเองก็สงสัยว่าหลินเมิ่งหวันทำอะไรบางอย่าง

ในใจของหลี่อี๋เหนียงยิ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และรีบร้อนสั่งให้บ่าวไปขอความช่วยเหลือจากจวนเฉิงเซี่ยง

แต่ในจวนเฉิงเซี่ยงเวลานี้ หลี่จิ่นซูกำลังเอนกายอยู่บนหัวเตียง มองไปที่ประตูตาไม่กะพริบ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก