พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 372

ฉู่อวิ๋นหานร้องอย่างน่าเวทนาออกมาเสียงหนึ่ง เจ็บปวดจนแทบจะสลบไสล แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขอความเมตตาหรือกราดเกรี้ยวเลยสักนิด ได้แต่ส่งเสียงครวญครางอยู่บนพื้น

รุ่ยอ๋องตัวสั่นสะท้านขึ้นมา ร่างกายสั่นเทาไปหมด

ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ท่าทีน่าสมเพชนั่นไม่เหลือความสดใสเหมือนแต่ก่อน

ความรู้สึกแปลกๆตอนที่คมดาบแทงเข้าไปในเนื้อหนังนั้นชัดเจนมาก ทำให้สั่นไปทั้งตัว ในหูมีเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดสะท้อนก้องไม่หยุด ทำให้เขารู้สึกมึนงง มีอาการทึ่มทื่อไปหมด

อวิ๋นหลิงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ปี้เฉิง สนองให้นางทีเถอะ”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้าและรับดาบไป ตอนที่ยกมือขึ้นคมดาบส่องแสงเย็นวาววับ แค่เสี้ยวลมหายใจก็ใช้ดาบบาดคอคนที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น โดยไม่ลังเลเลยสักนิด

จ้องมองฉู่อวิ๋นหานที่มีเลือดไหลอาบเต็มร่างสิ้นลมไปตรงหน้าตนเอง รุ่ยอ๋องรู้สึกว่าในสมองมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น เลือดในร่างกายไหลย้อนกลับ

เขามองเซียวปี้เฉิงอย่างตกตะลึง น้ำเสียงสั่นระริก

“น้องสาม......ทำไมเจ้าจึงสามารถลงมือได้อย่างฉับไวเช่นนี้ ทั้งๆที่พวกเจ้าเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก......”

“พี่ใหญ่ ความสงสารคือธรรมชาติของมนุษย์ นี่ไม่ใช่เรื่องผิด”

เซียวปี้เฉิงจ้องมองเขาเงียบๆ สายตาหนักแน่น

“แต่การเป็นคนต้องแยกแยะดีชั่ว ความสงสารและเห็นใจของท่านควรจะเก็บไว้ให้คนดี แต่ไม่ควรใจอ่อนกับคนชั่ว ถ้าหากท่านใจอ่อนกับคนชั่ว ก็ถือว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง”

เขามองดูรุ่ยอ๋องที่มีท่าทีทำอะไรไม่ถูกปะปนไปกับความตื่นตระหนกและสับสน ก็รู้สึกทอดถอนใจ และไม่อยากจะให้ความพยายามในการบีบบังคับของอวิ๋นหลิงต้องสูญเปล่า

“พี่ใหญ่ ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานจึงลงมือไม่ได้ แต่รู้หรือไม่ว่านางไม่เคยคิดถึงมิตรภาพระหว่างท่านกับข้าเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงเอ๋อร์พบพิรุธตั้งแต่ต้น ใช้เส้นสายในการตรวจสอบจนพบแผนการร้ายของพวกเขา วันนี้ที่บาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนกองอยู่ตรงนี้คงเป็นท่านกับข้า”

“พี่ใหญ่ ท่านเห็นแค่ว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสทั่วร่าง รู้สึกไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ แต่กลับไม่เคยเห็นวันที่เกิดกบฏในวัง ในเมืองหลวงมีเลือดไหลนอง ในวังมีศพนอนเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่คืนกลิ่นคาวเลือดก็ยังไม่จางหายไป”

“ชาวทูเจวียแอบซุ่มอยู่ระหว่างทางที่ข้าไปเมืองลี่ มีทหารสิบกว่านายที่คอยปกป้องข้า ต้องตายอยู่ในมือของศัตรูและหมาป่า กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่มีเวลาส่งคนไปเก็บร่างของพวกเขากลับมาเพื่อฝังให้เรียบร้อย”

เซียวปี้เฉิงเก็บดาบกลับไปในฝัก ยืนเอามือไขว้หลัง จ้องมองรุ่ยอ๋องที่ขวัญหนีดีฝ่อ

“พี่ใหญ่ ท่านรู้จักชาวทูเจวียหรือไม่”

“เจ็ดปีก่อนตอนที่ข้าเพิ่งจะไปถึงเมืองสุย ก็พบว่ากองทัพของพวกเขาได้ทำการกวาดล้างหมู่บ้านตามแนวชายแดน ทุกที่ที่พวกเขาเหมือนถูกภัยพิบัติร้ายแรงเข้าทำลาย ไม่มีคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ตอนนั้นเป็นปีที่ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนอาหาร ชาวทูเจวียจึงได้บุกมาจับตัวเด็กเล็กและหญิงสาวไปเป็นอาหาร”

“มีแม่บางคนเพื่อไม่ให้เสียงร้องของลูกดึงดูดศัตรู ได้ใช้เสื้อผ้าอุดปากของลูกเอาไว้ เมื่อชาวทูเจวียจากไปแล้วจึงพบว่า ลูกถูกผ้าอุดปากจนตายไปทั้งเป็น”

สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเคยได้ยินความป่าเถื่อนโหดร้ายของชาวทูเจวียมาบ้าง แต่ความเลวร้ายเช่นนี้กลับไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย

“ข้าเองก็เคยนำทหารแทรกซึมเข้าไปในค่ายของศัตรู เพื่อช่วยเหลือประชาชนชาวต้าโจวที่ถูกจับไปเป็นเชลยศึก แต่ผู้คนมากเกินไป แทบจะช่วยเหลือออกมาไม่ได้ ข้าได้แต่มองดูคนเหล่านั้นต้องตายไปอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตา มีบางส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกโยนเข้าไปในหม้อน้ำร้อน บ้างก็มีแขนขาไม่ครบ หายใจรวยริน นั่นเป็นอาหารที่ชาวทูเจวียกินเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ข้าถูกพวกเขาจับได้ เกือบจะถูกโยนลงไปในหม้อน้ำร้อน......”

ได้ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าขาวซีดของรุ่ยอ๋องก็สั่นเทาขึ้นมา ในสมองอดไม่ได้ที่จะวาดภาพฉากต่างๆที่เซียวปี้เฉิงได้เล่าให้ฟัง รู้สึกแค่ว่าขนพองสยองเกล้ามาก

สิ่งที่เขาอ่านล้วนเป็นหนังสือปราชญ์ ในนั้นพูดถึงแต่เรื่องความเมตตากรุณาและจริยธรรม ถึงจะเป็นหนังสือที่ไม่ดีแค่ไหนก็เป็นพวกบทละครพื้นบ้าน ซึ่งก็ล้วนหาสาระไม่ค่อยได้

ไหนเลยจะเคยคิดจินตนาการว่า บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัว และโหดร้ายถึงเพียงนี้

“นี่ก็คือชาวทูเจวีย พี่ใหญ่คิดว่าน่ากลัวหรือไม่”

เซียวปี้เฉิงเหลือบมองเขาจากด้านบน แววตาสงบนิ่ง

“ถ้าหากแผนการร้ายของพวกฉู่อวิ๋นหานสำเร็จ แคว้นต้าโจวก็จะถูกทำลายไม่มีทางฟื้นคืนมาได้อีก เผชิญกับคนพวกนี้ ทำไมข้าจะไม่กล้าลงมือ”

“ตอนนี้พี่ใหญ่สงสารนาง ถึงเวลานั้น ใครจะสงสารท่าน สงสารประชาชนของแคว้นต้าโจวเล่า”

รุ่ยอ๋องขยับริมฝีปาก มองดูศพของฉู่อวิ๋นหานอย่างตกตะลึงพรึงเพริด อ้าปากขึ้นมา แต่ผ่านไปนานก็ยังพูดไม่ออก

อวิ๋นหลิงเอ่ยเสียงเรียบว่า “สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว ท่านก็ทำตัวให้ดีเถอะ”

ชั่วขณะนั้น ในใจเขารู้สึกสับสนไปหมด

ผ่านไปนานมาก ก่อนจะเก็บสายตากลับมา พร้อมกับความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

หลังจากอวิ๋นหลิงกลับไปที่จวน ก็ด่ารุ่ยอ๋องอย่างรุนแรงให้หลิวฉิงฟัง

หลิวฉิงถอนหายใจให้กับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่มีส่วนประกอบของคาร์บอนเป็นหลัก “นี่มันคนโง่ขั้นสุดยอดแบบไหนกัน”

“เขาขาดแคลนการโจมตีจากสังคม” อวิ๋นหลิงส่ายหน้า รุ่ยอ๋องนับว่าถูกฮองเฮาเฟิงเลี้ยงดูจนไร้ประโยชน์แล้ว

จู่ๆนางก็พบว่ามาตรฐานในการเลี้ยงลูกชายของจักรพรรดิจาวเหรินนั้นไม่ได้เรื่องจริงๆ เซียวปี้เฉิงที่เติบโตจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างออกไปนับว่าปาฏิหาริย์แล้ว

หลิวฉิงแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง “ถ้าหากต้องการละก็ ข้าสามารถนำเขาใส่กระสอบและทุบตีสั่งสอนสักตั้ง ให้เขาได้รับรู้ถึงความอันตรายของจิตใจคนและความโหดร้ายของโลกใบนี้”

เรื่องแบบนี้นางถนัดที่สุด

มีเพียงน้องหลิงที่อดทนค่อยๆโน้มน้าว หากเปลี่ยนเป็นนาง หมัดก็คือเหตุผลที่ดีที่สุด ไม่พอใจก็สั่งสอนจนต้องศิโรราบ

อวิ๋นหลิงยักไหล่ “คนเช่นนี้นอกเสียจากจะทำให้เขารู้สึกล้มเหลวอย่างรุนแรงแล้ว มิเช่นนั้นตีเขาให้ตายก็ไร้ประโยชน์”

บ่นเรื่องรุ่ยอ๋องไป ทั้งสองคนก็ไปอาบน้ำพักผ่อน

เมื่อถึงเวลาช่วงบ่ายของอีกวัน เฉียวเย่ก็มารายงาน รัฐทายาทหรงแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงมาขอพบ

“ข้ามาเพราะเรื่องของเสี่ยวฉาน นางนอนพักฟื้นอยู่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ข้าจึงมาเป็นตัวแทนนาง”

อวิ๋นหลิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พอจะเดาบทสรุปได้แล้ว จึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “นางอยากจะหย่าใช่หรือไม่”

หรงจั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยักหน้ารับ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ