พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 398

“ฮองเฮามาหรือ?”

ช่วงนี้จักรพรรดิจาวเหรินกับฮองเฮาเฟิงมักจะผิดใจกัน บัดนี้ได้ยินรายงานแล้วก็เลิกคิ้ว คิดว่านางมาหาเขา

คนในตำหนักฉางหนิงไม่กล้าขวางฮองเฮา อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาด้านในตำหนักอย่างรวดเร็ว ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงยิ่ง

อวิ๋นหลิงมองสำรวจนาง หลังจากเหตุการณ์ก่อกบฏแล้ว นางก็ไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายเลย

ได้ยินว่าตอนที่ฮองเฮาเฟิงโดนจับเป็นตัวประกันในเหตุการณ์กบฏนั้น นางเสียขวัญเพราะเห็นคนในวังโดนปลิดชีพกับตา จักรพรรดิจาวเหรินจึงไม่ให้นางไปสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนอีก

ยามนี้ดูแล้วเห็นจะเป็นดังนั้น

ฮองเฮาเฟิงผอมลงเล็กน้อย ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา พวงแก้มอันอิ่มฟูกลายเป็นแห้งกร้านและนูนลง ดวงตาทรงเสน่ห์กลมโตกว่าเดิม ทว่าไม่ได้น่าพิสมัยอีกต่อไป

บัดนี้ดวงตาคู่นั้นไม่ได้สดใสดุจวันวานแล้ว มีเพียงสีดำขลับ ทว่าไม่สุกใส แลดูมัวหมองยิ่ง

“ฝ่า...ฝ่าบาท?”

ฮองเฮาเฟิงเห็นจักรพรรดิจาวเหรินกะทันหันก็นึกแปลกใจ

นางเก็บอาการหัวร้อน กลับมาอ่อนโยน เรียบร้อยดังเดิม แต่กลับแลดูดุร้ายอย่างผิดปกติ

“ไยฝ่าบาทถึงมาอยู่ที่นี่? มากินข้าวกับพวกปี้เฉิงโดยเฉพาะหรือเพคะ?”

น้ำเสียงฮองเฮาเฟิงเจือความสงสัย มองทุกคนสลับกันไม่หยุด ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย

“ข้ามากินข้าวกับพวกเขาสักมื้อ ก็ไม่เห็นแปลกกระไร เป็นเรื่องปกติดีนี่” จักรพรรดิจาวเหรินวางตะเกียบลง ถามเสียงเรียบ “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่กะทันหันได้?”

ดูเหมือนไม่ได้มาหาเขา เช่นนั้นก็ต้องมาหาเจ้าสามพร้อมภรรยาแล้ว

เซียวปี้เฉิงยังไม่ทันได้นั่งดี ๆ ก็ต้องลุกขึ้นคำนับอีกครั้ง “คารวะเสด็จแม่ ขออวยพรให้เสด็จแม่อายุยืนยาวนานพ่ะย่ะค่ะ”

อวิ๋นหลิงก็ยอบกายถวายบังคมตาม ก่อนจะสั่งว่า “ตงชิง ไปเอาตะเกียบกับถ้วยมาเพิ่มหนึ่งชุด”

นางแอบบ่นในใจ มื้อเย็นนี้คงไม่เจริญอาหารแล้วละ ถ้ารู้แต่แรก นางควรไปกินข้าวกับพระเจ้าหลวงที่ตำหนักหลักจะดีกว่า

ทว่าเสียดายเย็นนี้ตาเฒ่าน้อยไปกินเจเป็นเพื่อนไทเฮาแล้ว

ดังคาด ฮองเฮาเฟิงปฏิเสธเสียงแข็งกระด้าง “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากกิน”

เซียวปี้เฉิงเอ่ย “ไม่ทราบว่าเสด็จแม่มาด้วยธุระอันใดพ่ะย่ะค่ะ?”

จักรพรรดิจาวเหรินที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า นิ้วมือใต้แขนเสื้อของฮองเฮาเฟิงกำแน่น พร้อมทั้งขบฟัน

“ข้าจะถามเจ้าว่าเจ้าเป็นคนเสนอให้เทียนอวี้ไปทำงานที่กรมขุนนางใช่หรือไม่?”

อวิ๋นหลิงลอบพูดในใจ นางนึกแล้วเชียวหากฮองเฮาเฟิงรู้เรื่องนี้แล้วต้องมาหาเรื่องเซียวปี้เฉิงแน่

“ทูลเสด็จแม่ เรื่องนี้ลูกเป็นคนเสนอแนะให้เสด็จพ่อเองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาเฟิงได้ยินคำตอบนี้ก็เกือบควบคุมอารมณ์ทางสีหน้าไม่อยู่ พยายามระงับความบุ่มบ่ามและเพลิงโทสะไว้ “พี่ใหญ่เจ้าทำงานที่สำนักศึกษาฮั่นหลินอยู่ดี ๆ ไยเจ้าถึงเป่าหูฝ่าบาทให้ย้ายไปที่กรมขุนนางด้วย?”

เซียวปี้เฉิงเม้มปาก เขาไม่สะดวกใจที่จะตอบคำถามนี้

ฮองเฮาเฟิงจ้องเขม็งใส่อวิ๋นหลิง “แล้วเจ้าด้วย ไยจึงยุแยงให้เทียนอวี้กับหรงฉานหย่ากัน? รู้หรือไม่ว่าทำให้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวง”

ถึงแม้พวกเขาสองคนจะยืดระยะเวลาหย่าร้างออกไป ทว่ามีคนเห็นรุ่ยอ๋องวิ่งตามรถม้าหรงฉานบนท้องถนนกันเยอะ

อวิ๋นหลิงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ฮองเฮาเฟิงกลับไม่รักษาน้ำใจ นางชี้หน้าอวิ๋นหลิงแล้วตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด “อย่ามาเสแสร้งแกล้งทำแถวนี้เลย เพราะเจ้าเป็นคนโปรดของพระเจ้าหลวง จึงชอบรังแกเทียนอวี้เป็นประจำ ข้าไม่อยากเห็นเจ้ามาเสแสร้งแถวนี้”

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่ พวกเจ้ากลัวเขาขวางทาง จึงใช้งานมาแก้ปัญหาส่วนตัว หวังอยากให้เขาจมลงโคลนดิน”

อวิ๋นหลิงได้ยินก็อยากหัวเราะ รุ่ยอ๋องโง่เพียงนี้จะขวางทางอะไรได้ กำลังพูดถึงสำนวนสุนัขดีไม่ขวางทางหรือไร?

แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า พูดอย่างอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยอ่อนโยนมาก่อน “เสด็จแม่เข้าใจผิดแล้ว ระหว่างข้ากับพี่ใหญ่เป็นเพียงการทะเลาะวิวาทเล็กน้อยตามประสาพี่น้องเท่านั้น พระองค์มองข้ามความหวังดีของพวกเราแล้ว ถึงแม้ทำเยี่ยงนี้จะเป็นการลงโทษพี่ใหญ่ แต่ก็เป็นการฝึกฝนนิสัยและสร้างประสบการณ์ให้เขา”

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูและเหตุการณ์ที่ต่างกัน ย่อมต้องใช้กลยุทธ์ต่างกันไป หากเทียบกับหวงกุ้ยเฟยและเหลียงเฟยแล้ว ฮองเฮาเฟิงถือเป็นกรณีพิเศษ

อีกฝ่ายเป็นบุคคลที่จักรพรรดิจาวเหรินรักอย่างลำเอียงมากที่สุด จึงไม่ควรใช้วิธีที่เคยรับมือและโจมตีหวงกุ้ยเฟย

แต่ไหนแต่ไรมาภาพลักษณ์ของนางคือหาเรื่องไม่ได้และไม่ยอมเสียเปรียบ บัดนี้หากยิ่งอ่อนโยนและมีความอดทนมากเท่าใด ก็ยิ่งกระตุ้นให้ฮองเฮาเฟิงสติแตกและไร้เหตุผลมากขึ้น

“ฝึกนิสัยเขา? พูดได้สวยดีนี่ แล้วเหตุใดองค์ชายห้าถึงได้ทำงานกับอาลักษณ์กรมคลังเล่า? ส่วนเทียนอวี้กลับต้องเริ่มต้นเป็นขุนนางระดับล่างสุด?”

เมื่อฮองเฮาเฟิงเห็นจักรพรรดิจาวเหรินใช้สองมาตรฐานเยี่ยงนี้ ก็โมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ยากจะควบคุมสติได้

“เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าต้องการค้ำจุนคนในพรรคตัวเอง และกำจัดคนต่างพรรค”

เซียวปี้เฉิงได้ยินประโยคนี้ก็ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม พูดเสียงเย็นเยียบ “เสด็จแม่โปรดระวังถ้อยคำด้วย ข้ากับพี่ใหญ่และน้องห้าเป็นพี่น้องกัน ควรที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สมัครสมานสามัคคีกัน ไยจึงกล่าวว่ากำจัดคนต่างพรรคได้?”

อวิ๋นหลิงถอนหายใจช้า ๆ แววตาผิดหวังและซับซ้อน “หรือในใจเสด็จแม่ ไม่เห็นปี้เฉิงเป็นลูกชายเหมือนพี่ใหญ่เพคะ?”

วาจาที่นางเอื้อนเอ่ยมีพิษสงยิ่ง ทั้งยังแฝงเลศนัยอีกด้วย ไม่ต้องพูดให้กระจ่างแจ้ง แต่จักรพรรดิจาวเหรินก็หน้าซีดขาวในบัดดล

นิ้วมือเขาสั่นเทา นึกถึงภาพเหลียงเฟยร้องทุกข์ด้วยความโศกเศร้า และนึกถึงสายตาเย็นชาของเสียนอ๋องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ