พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 403

หลังจากเหตุก่อกบฏ ฮองเฮาเฟิงเองก็ได้รับอนุญาตให้พักฟื้นชั่วคราวในตำหนักเฟิ่งซีเป็นเวลาสองสามเดือน

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเดือน จู่ๆ จักรพรรดิจาวเหรินก็ออกคำสั่งให้ส่งฮองเฮาเฟิงกลับไปยังศาลบรรพชน สั่งห้ามทุกคนไม่ให้พบนาง

องค์หญิงหกทั้งร้อนใจทั้งสับสน ไม่รู้ว่าเสด็จแม่ทำอะไรผิดอีก จนไปยั่วโทสะจักรพรรดิจาวเหรินเช่นนี้

นางอยากจะถามให้กระจ่างมาตั้งนานแล้ว ทว่าสองวันนี้จักรพรรดิจาวเหรินทรงปฏิเสธไม่ให้นางเข้าเยี่ยมมาตลอด วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่นางมายังห้องตำรา แต่ไม่คาดคิดว่าจะบังเอิญได้ยินข่าวที่น่าตกใจเช่นนี้

“...มอบความตาย...เสด็จแม่?”

องค์หญิงหกรู้สึกตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวในใจวูบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามพุ่งไปยังห้องตำราเหมือนเมื่อก่อน

หลังจากฮองเฮาถูกควบคุมอยู่ในศาลบรรพชน จักรพรรดิจาวเหรินก็มอบนางให้พระพันปีสั่งสอนอบรม พระพันปีโปรดกินเจและสวดมนต์ ยามปกติจะอยู่ในวังทุกๆ ครึ่งเดือน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะไปอยู่ที่วัดหานซาน

หลังจากได้รับการสั่งสอนเช่นนี้มาครึ่งปี อุปนิสัยใจคอขององค์หญิงหกก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก

ตระกูลเฟิงประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายหลายครั้ง รุ่ยอ๋อง พี่ชายแท้ๆ ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด จักรพรรดิจาวเหรินไม่ได้ให้ท้ายนางอย่างไม่มีเงื่อนไขอย่างเมื่อก่อนอีก องค์หญิงหกมิได้หยิ่งยโสจองหองเหมือนในอดีต ค่อยๆ เรียนรู้จะควบคุมตัวเองและประเมินสถานการณ์

แต่ข่าวนี้น่าตกใจเหลือเกิน องค์หญิงหกสูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนใจกัดฟันวิ่งไปที่ศาลบรรพชน

นางเดินด้วยความตื่นตระหนกระคนร้อนรน ป้ายหยกที่อยู่ตรงหว่างเอวพลัดหล่นลงพื้นบังเกิดเสียงดังกังวาน ทว่านางก็ยังสังเกตไม่เห็น

ฝูกงกงผลักเปิดประตูห้องตำราออกไป เห็นอัญมณีชิ้นหนึ่งอยู่บนพื้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาเรียกองครักษ์ที่เพิ่งถูกไล่ออกไปมาถาม “เมื่อครู่มีใครมาที่ห้องตำรา”

“เรียนฝูกงกง องค์หญิงหกเพิ่งมา แล้วก็เพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่”

ฝูกงกงขมวดคิ้วแน่น รีบย่ำเท้ากลับไปยังห้องตำรา แล้วปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา

......

อีกด้านหนึ่ง องค์หญิงหกหลบเลี่ยงนางกำนัลอย่างเงียบๆ ปีนข้ามกำแพงเตี้ยๆ ลอบเข้าไปในศาลบรรพชน เห็นฮองเฮาเฟิงผ่านช่องว่างหน้าต่างกระดาษสองสามช่อง

“เสด็จแม่...เสด็จแม่!”

ฮองเฮาเฟิงนั่งบนเบาะรองด้วยสีหน้าเลื่อนลอย หลังจากได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย ก็เพ่งสายตามองไปเล็กน้อย

“หรงเอ๋อร์หรือ เจ้าแอบเข้ามาได้อย่างไร…”

องค์หญิงหกดูกังวล เบาเสียงลงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเสด็จพ่อจึงพูดกับฝูกงกงว่าจะลงโทษประหารชีวิตท่าน”

ได้ยินข่าวนี้ สีหน้าท่าทางของฮองเฮาเฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดอะไร ฝ่าบาทจะลงโทษประหารชีวิตข้าหรือ”

ถูกขังอยู่ในศาลบรรพชนสองวัน นางก็ค่อยๆ สูญสิ้นความหวัง รู้ตัวว่าหนีไม่พ้นชะตากรรมถูกปลดออกจากฐานันดรศักดิ์

แต่เดิมคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับจักรพรรดิจาวเหรินอันยาวนานหลายปี ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายจะไว้ชีวิตนาง แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะประทานความตายให้นาง!

“หรงเอ๋อร์เพิ่งได้ยินตอนอยู่หน้าห้องตำรา เสด็จแม่ โปรดบอกข้าเร็วๆ ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ฮองเฮาเฟิงรู้สึกเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะได้สติจากอารามตกใจ ในที่สุดก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นางสั่นเล็กน้อยไปทั้งตัว ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างมิอาจควบคุม

“เร็ว...เร็วเข้า! หรงเอ๋อร์เลิกถามมากความได้แล้ว รีบไปหาพี่ใหญ่เจ้าไวๆ มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะช่วยแม่ได้! ไปเร็ว!”

องค์หญิงหกตกใจจนใบหน้าขาวซีด จึงไม่สนใจซักถามสาเหตุ พอเห็นฮองเฮาเฟิงตื่นตระหนกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็ได้แต่รีบขึ้นรถม้าออกจากพระราชวังไป

ภายในจวนรุ่ยอ๋องเงียบสงัดวังเวง รุ่ยอ๋องนั่งอยู่คนเดียวหน้าโต๊ะหินในลานบ้าน จ้องมองบทละครบนโต๊ะอย่างงุนงง

เมื่อก่อนสามารถอ่านหนังสือซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ แต่บัดนี้อ่านไม่ได้เลยแม้แต่บรรทัดเดียว

ขาดคนข้างกายที่จะมาหัวร่อต่อกระซิกด้วยกัน ชิงช้าใต้ต้นไม้เก่าแก่เลยดูโดดเดี่ยวเงียบเหงา

อากาศอันเงียบสงบถูกองค์หญิงหกที่มาเยือนทำลายลงอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่ แย่แล้วๆ! ท่านรีบเข้าวังไปช่วยเสด็จแม่เถอะ ข้าได้ยินเสด็จพ่อพูดกับฝูกงกงว่าจะมอบโทษประหารให้เสด็จแม่!”

จำเสียงตื่นตระหนกขององค์หญิงหกในลานบ้านได้ รุ่ยอ๋องพลันตกตะลึง

“น้องสะใภ้สาม...โปรดบอกข้าที ตกลงเสด็จแม่ทำอะไรผิดกันแน่ จึงทำให้เสด็จพ่อต้องลงโทษประหาร?”

อวิ๋นหลิงเห็นท่าทางอดทนของเขา ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าพลอยผ่อนคลายลงไปด้วย

นางมองรุ่ยอ๋องด้วยสายตาซับซ้อน เอ่ยเนิบช้า “ฮองเฮาเฟิงปองร้ายรัชทายาทกับนางสนมในวังหลัง นางยอมรับเองกับปาก ประกอบกับหลักฐานแน่นหนา ด้วยเหตุนี้เสด็จพ่อจึงลงโทษประหารชีวิตนาง”

อวิ๋นหลิงไม่ได้ปิดบังอะไร บอกความจริงที่ฮองเฮาเฟิงทำทุกอย่างตลอดหลายปีที่ผ่านมา

องค์หญิงหกฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้จบลง ก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย เข่าอ่อนทรุดล้มลงกับพื้น

“โอ้สวรรค์...โอ้สวรรค์...!”

รุ่ยอ๋องรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ร่างกายพลันแข็งทื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เอ่ยถามตะกุกตะกัก “...มารดา...มารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าสามคือ...ถูกเสด็จแม่ฆ่าหรือ”

“วันที่จวิ้นกุ้ยเหรินคลอดบุตรนั้น ฮองเฮาปิดข่าวที่นางคลอดบุตรยากไว้ ไม่อนุญาตให้หมอตำแยทำคลอดนาง หมายจะให้เด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกหายใจไม่ออก ฆ่านางสองแม่ลูกให้ตายทั้งกลม”

อวิ๋นหลิงมองเขานิ่งๆ สายตาเย็นชาและไม่สั่นไหว “ดังนั้นฮองเฮาจะต้องตาย นางสมควรได้รับโทษ พวกท่านไม่ต้องพยายามคิดเพ้อฝันอ้อนวอนแทนนาง”

รุ่ยอ๋องยืนอยู่ตรงนั่นด้วยอารามอกสั่นขวัญแขวน น้ำตาร้อนผ่าวไหลร่วงเผาะลงมา

เหตุใด...เหตุใดเสด็จแม่ทำเช่นนี้เล่า

คนที่สอนให้เขามีมารยาท ยุติธรรม ซื่อสัตย์ ละอายใจมาตั้งแต่เด็ก บอกให้เขามีน้ำใจต่อผู้คน รักประชาชนและเมตตาต่อทุกสรรพสิ่งนั้น มิใช่นางหรอกหรือ

รุ่ยอ๋องรู้สึกว่าในใจมีบางอย่างแตกสลายและพังภินท์ลง วิงเวียนศีรษะเบื้องหน้ามืดมน เขาบังคับตัวเองให้มีสติ สะอึกสะอื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างยากลำบาก

“...ลิขิตฟ้าแจ่มชัดเหลือขัดขืน อย่าได้ฝืนวางอุบายให้ร้ายเขา”

เขาเคยอ่านประโยคนี้ในหนังสือมาก่อน แต่จนกระทั่งผ่านเหตุการณ์ในคุกใต้ดินครานั้น ทำให้เขาเข้าใจความหมายของมันอย่างแท้จริง

รุ่ยอ๋องตาแดงก่ำ มองไปทางอวิ๋นหลิงอย่างลึกล้ำ “น้องสะใภ้สาม...ข้าจะไม่วิงวอนแทนนาง แค่ขอให้เจ้าอะลุ่มอล่วยสักครั้งจะได้หรือไม่...ให้ข้าได้พบนางเป็นครั้งสุดท้าย?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ