พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 408

เขามองหลิวฉิงด้วยความสับสน “เหตุใดศิษย์พี่ของหลิงเอ๋อร์จึงพูดเช่นนี้”

“หืม? เจ้าไม่รู้สึกเศร้าเสียใจเรื่องของจวิ้นกุ้ยเหรินเลยหรือ”

เซียวปี้เฉิงพลันหลุดหัวเราะ “เสียใจก็มีบ้าง แต่ตอนนี้ได้ล้างแค้นแล้ว ตัวต้นเหตุถูกประหารชีวิตแล้ว แต่เพื่อปลอบขวัญดวงวิญญาณแม่ข้าบนสวรรค์ ข้าย่อมไม่จมจ่อมอยู่กับอดีตจนจิตใจห่อเหี่ยวหรอก”

หลิวฉิงพยักหน้าเห็นด้วย น้องเขยสามเข้มแข็งกว่าที่นางคิดไว้

“เช่นนั้นข้าก็โล่งอก เมื่อครู่เห็นสีหน้าเจ้าดูดำๆ ชอบกลเหมือนก้นหม้อ เลยนึกว่าเจ้ายังสะเทือนใจไม่หาย”

“...อาจเป็นเพราะสีท้องฟ้าค่ำไวเกินไป จนท่านดูผิดไปต่างหาก”

“อันที่จริง จะว่าไปน้องเขยสาม เจ้าคล้ำไปหน่อยนะ ตะเกียงนี้ก็ขมุกขมัวเหลือเกินจนข้ามองเห็นหน้าเจ้าแทบไม่ชัดเลย”

ใบหน้าเซียวปี้เฉิงแข็งทื่อ รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยกว่าตนจะปรับอารมณ์ให้ดีได้ก็ต้องกลับมากลัดกลุ้มอีกแล้ว

หลิวฉิงไม่ทันสังเกต จึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “แต่สีหน้าเจ้าเมื่อครู่นี้ดูแย่มากจริงๆ หากคิดอะไรอยู่ อย่าเก็บงำไว้ในใจ อย่าข่มกลั้นไว้เพียงคนเดียว พวกเราล้วนเป็นที่พักใจอันแสนอบอุ่นของเจ้า”

“...ขอบคุณที่เป็นห่วง”

เขาสบายดีมาก สบายดีมากจริงๆ

อวิ๋นหลิงกลั้นหัวเราะ พยายามแก้ตัวให้เขา “เขาไม่เป็นอะไร แค่หิวจนท้องร้องหน้าตาก็เลยดูไม่ดี ตงชิง รีบไปให้ในครัวทำอาหารมาหน่อยสิ!”

วันนี้พวกเขาไปไหว้จวิ้นกุ้ยเหรินใช้เวลาเกือบทั้งวัน ตอนออกจากวังก็พลาดอาหารเย็นอีก ตอนนี้ถูกความหิวเล่นงานจนท้องร้องโครกคราก

กู้ฉางเซินฟังแล้วก็เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ประจวบเหมาะเลยวันนี้ข้ากับหลิวฉิงทำไก่ทอดมาพอดี ยังอุ่นๆ อยู่ เย่ว์อิ่นไปยกมาเร็วเข้า”

เย่ว์อิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง จะเอาเจ้าของสิ่งนั้นให้จิ้งอ๋องกับพระชายากินจริงๆ หรือ

“พี่ฉิงทำอาหารกับท่านหรือนี่ หายากจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาพี่ฉิงไม่ชอบลงครัวเอาเสียเลย”

ปากบอกว่าไม่มีความรู้สึกกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างพาซื่อ

หลิวฉิงเอ่ยปากชี้แจ้งว่า “ตอนที่เจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เจ้าอ๋องชวนข้าไปฝึกทำอาหาร ข้าก็เลยตอบรับคำ แค่ฆ่าเวลาเล่นๆ น่ะ”

นางไม่ชอบเข้าครัวจริงๆ แต่ก็จนใจตอนที่กู้ฉางเซินเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุนในวันนั้น นางจึงตื่นตาตื่นใจไปกับความรูปงามของอีกฝ่าย พยักหน้ารับคำไปทั้งที่ได้ยินไม่ถนัดหู

เซียวปี้เฉิงถนอมน้ำใจ เอ่ยยิ้มๆ อย่างเฝ้ารอคอย “ในเมื่อสหายกู้ลงครัวทำอาหารเอง เช่นนั้นก็ต้องลองชิมสักหน่อย”

เย่ว์อิ่นมองเขาแวบหนึ่งอย่างจนคำพูด จากนั้นจึงหมุนตัวไปยกจานอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก วัตถุนิรนามจานใหญ่ที่ฉายประกายสีเหลืองทองอร่ามตัดกับสีดำสลับลายเหลืองเกรียมก็ถูกยกเข้ามา

เซียวปี้เฉิงตกใจ ชี้ไปยังกองภูเขาย่อมๆ ที่ก่อขึ้นเป็นลูกกลมๆ แล้วถามว่า “นี่คือไก่ทอดหรือ”

ถ้ามิใช่เพราะเจ้าสิ่งนี้ส่งกลิ่นหอมของเนื้อไหม้ เขาคงคิดว่าเย่ว์อิ่นยกขนมอึแข็งจานหนึ่งมาให้

กู้ฉางเซินตอบอย่างนุ่มนวล “ถึงหน้าตาภายนอกจะดูแย่สักหน่อย แต่ถ้าทุกคนในจวนได้ชิมแล้วรับรองจะติดใจรสชาติ”

เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย เริ่มส่งตะเกียบให้พวกเขาทั้งสองด้วยความคาดหวัง

อวิ๋นหลิงเหลือบมองปราดหนึ่ง แทบแยกไม่ออกเลยว่านอกจากน่องไก่ทอดรูปทรงแปลกๆ แล้ว ยังมีเฟรนช์ฟรายส์อีกไม่น้อย

“พี่ฉิงว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”

หลิวฉิงตอบอย่างจริงจังว่า “เอาไปเทียบกับฝีมือเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว แต่พอลองกินก็ใช้ได้นะ”

อวิ๋นหลิงได้ยินคำนี้ก็แอบร้องย่ำแย่ในใจ พี่ฉิงมักจะวิจารณ์อาหารด้วยสองคำฮิตติดปากว่า กินได้กับอร่อยดี

สำหรับนางแล้ว คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมการทำสงครามที่แสนยากลำบากในป่า ดังนั้นต่อให้เป็นหมั่นโถวที่แข็งเป็นหินหรือแมลงที่ยังเป็นๆ ก็ยังอยู่ในกรอบที่เรียกว่ากินได้

พอกู้ฉางเซินกับหลิวฉิงเดินจากไป เซียวปี้เฉิงก็ให้ลู่ฉีส่งชามาทันที บ้วนปากอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่พักหนึ่ง กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องปาก สีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ลู่ฉีมองเขาด้วยความเลื่อมใส “ท่านอ๋องเก่งจริงๆ ท่านกินของที่แม้แต่สุนัขยังเมินไปตั้งครึ่งหนึ่งเชียวนะขอรับ”

เซียวปี้เฉิงกระตุกมุมปาก แล้วถามเขาด้วยสีหน้าเหยเกว่า “หมู่นี้พวกเขาทำอะไรกัน”

“จะทำอะไรได้ นอกจากเรียนทำอาหารกับแม่นมเฉิน เมื่อวานยังเกือบจะเผาครัวเสียแล้ว โชคดีที่แม่นมหัวไว ถึงจะน่ากลัวแต่ปลอดภัยขอรับ”

ลู่ฉีพึมพำ ก่อนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองสามวันที่ผ่านมาอย่างยาวเหยียด

“ช่วงสองสามวันที่ท่านกับพระชายาไม่อยู่นั้น ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกับศิษย์พี่ของพระชายาง่วนทอดไก่อยู่ในครัวตลอดทั้งวัน พวกเรากว้านซื้อน่องไก่ไปทั่วทั้งเมืองหลวงจนขาดตลาด! ทำเอาพวกเราแปลกใจที่ไข่ไก่ฟองละหนึ่งอีแปะพุ่งไปเป็นสามอีแปะเลยขอรับ!”

อวิ๋นหลิงอดถามไม่ได้ “น่องไก่ทอดเยอะแยะขนาดนี้ พวกเจ้ากินกันหมดหรือ”

“พระชายา ปัญหาไม่ได้ที่กินหมดหรือไม่ แต่กลืนไม่ลงเลยต่างหาก! ทุกคนไม่กล้าบอกความจริง กลัวจะทำให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการหมดสนุกไป จึงได้แต่โยนให้หมากิน ใครจะไปรู้ขนาดหมายังเมิน โชคดีที่บ่าวไหวพริบดี เลยสับน่องไก่ทอดพวกนั้นผสมกับอาหารเลี้ยงไก่ เป็ด และรำหมู เพื่อแก้ปัญหา...”

ใช้น่องไก่ทอดมาทำเป็นอาหารเลี้ยงไก่หรือ เจ้าช่างมีพรสวรรค์จริงๆ

เซียวปี้เฉิงกระตุกมุมปากอย่างแรง ถามอย่างค่อนข้างปวดใจ “สองสามวันนี้พวกเจ้าใช้เงินไปซื้อของเท่าใดแล้ว”

แม้อีกฝ่ายจะเป็นอาคันตุกะ แต่คลังของเขาแบกรับรายจ่ายสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้ไม่ไหวหรอก!

คราวนี้ลู่ฉีตอบอย่างฉลาดเหลือแสนว่า “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแอบมอบตั๋วเงินให้ใต้เท้าเฉียวห้าพันตำลึง บอกว่าเป็นค่าอาหารที่อยู่ในจวนอ๋องช่วงสองสามเดือนนี้ขอรับ”

ห้าพันตำลึง?! เท่ากับเงินตอบแทนสามปีของเขาเลยนะ

เซียวปี้เฉิงถึงกับถอนใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”

เขาครุ่นคิดอย่างหงุดหงิด มีเงินนี่ดีจริงๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ