พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 421

ลี่ผินลังเลที่จะกล่าวต่อ แต่พอนึกถึงว่าได้เปิดเผยเรื่องในอดีตกับจักรพรรดิจาวเหรินแล้ว ก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่ตนถูกพิษเย็นอีก

“บรรพบุรุษของหม่อมฉันเคยได้รับพิษหนอนกู่เย็นจากแคว้นเหมียวเจียง จึงมีพิษเย็นอยู่ในร่างที่สืบต่อมายังทายาทรุ่นหลัง ซึ่งทำให้กลัวความเย็นมากกว่าคนปกติ และเป็นพิษที่หมดทางเยียวยา วันใดฝนตกฟ้าร้องร่างกายก็จะเหน็บหนาว มือเท้าแข็งชาจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้”

อยู่ในวังมาหลายสิบปี นางระมัดระวังตัวในเรื่องนี้มาก ไม่เคยเปิดเผยความผิดปกติของร่างกายให้หมอหลวงได้เห็นเลย

จักพรรดิจาวเหรินพระพักตร์ตื่นตระหนก “ในเมื่อสืบทอดมาหลายชั่วคน แล้วเหตุใดเจ้าหกดูแล้วไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย?”

ลี่ผินสีหน้าตื้นตันใจ “อวี้เหอเคราะห์ดีได้ความคุ้มครองจากสวรรค์ ด้วยเกิดมามีมีเส้นชีพจรที่ต่างจากคนทั่วไป จึงไม่ถูกพิษเย็นทำร้ายเข้า”

ลำพังแค่ดูจากเส้นชีพจรประหลาดขององค์ชายหก นั่นคืออัจฉริยะในการฝึกวรยุทธ์ขนานแท้ แต่เสียดายมีผลกระทบจากพิษเย็น ทำให้แม้มีหน่วยก้านดีแต่ก็ไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้

แต่ในใจสนมลี่ผินก็หาได้เสียใจไม่ กลับรู้สึกโชคดีเสียด้วยซ้ำ ถ้าใช้พรสวรรค์แลกกับความสุขสงบชั่วชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าเหมือนกัน

อีกอย่างแม้ไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้ แต่นางสามารถสอนให้เขารู้จักการใช้อาวุธลับ ก็นับเป็นศาสตร์ในการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง

จักรพรรดิจาวเหรินฟังจบแล้ว ทรงคิดว่าเรื่องเล่าขานในยุทธภพดูจะเหลือเชื่อกว่าที่ทรงคาดคิดไว้มากนัก

“ลี่ผิน เจ้าก็อย่าเสียใจนักเลย พักก่อนเจ้าห้าก็เคยถูกพิษเย็น อาการคล้ายกับที่เจ้าเล่ามา ทุกครั้งที่อากาศเย็นหรือฝนตกก็จะทรมานจนไม่อาจนอนหลับ แต่เห็นชายาของเจ้าสามก็ยังรักษาเขาจนหายดี”

แม้ว่าอวิ๋นหลินจะชอบทำให้เขาโมโหเรื่อย แต่จักรพรรดิจาวเหรินก็ยังเชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของนางอยู่

ชายาเจ้าสามผู้นี้แม้ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเซียน ก็ต้องรู้วิชาเซียนเป็นแน่แท้

ลี่ผินพยายามที่จะปฏิเสธ แต่จักรพรรดิจาวเหรินยังคงเชื่อว่าอวิ๋นหลิงจะรักษาพิษชนิดนี้ได้ พร้อมรับสั่งให้ฝูกงกงไปเชิญนางมาเข้าวัง

ลี่ผินไม่อาจขัดต่อความยืนกรานของจักรพรรดิจาวเหริน จึงต้องปล่อยให้อีกฝ่ายไปเชิญอวิ๋นหลิงกับสวามีมาเข้าเฝ้า

ก่อนจะไปพบสนมลี่ผินนั้น อวิ๋นหลิงกับเซียวปี้เฉิงได้รู้ที่มาที่ปาของเรื่องราวจากโอษฐ์ของจักรจาวเหรินก่อนแล้ว

เซียวปี้เฉิงมีสีหน้าคาดไม่ถึง “พระสนมลี่ผินเป็นศิษย์สายตรงของสำนักทิงเสวี่ยจริงหรือ?”

อวิ๋นหลิงเองก็ตกใจ เพราะหลายวันก่อนพวกเขาเพิ่งมีการพูดคุยถึงองค์กรลึกลับแห่งนี้ และคิดว่าสองฝ่ายคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันได้ มิคาดว่าพริบตาก็ต้องมารับรู้ข่าวที่น่าสะเทือนขวัญเช่นนี้

จักรพรรดิจาวเหรินพยักหน้าด้วยความเคร่งเครียด “เรื่องนี้พวกเจ้าต้องปิดเป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายออกไป หาไม่อาจนำความเดือดร้อนมายังเจ้าหกกับแม่ก็เป็นได้”

เซียวปี้เฉิงก็พยักหน้าหนักแน่นเช่นกัน แม้จักรพรรดิจาวเหรินไม่รับสั่ง เขาก็รู้ว่าควรทำเช่นไรอยู่แล้ว

“ให้อวิ๋นหลิงไปดูอาการของลี่ผินก่อนเถอะ”

เมื่อสองสามีภรรยาไปถึงตำหนักของสนมลี่ผินนั้น องค์ชายหกเซียวอวี้เหอก็อยู่ด้วย

แท้จริงแล้วสนมลี่ผินมิได้เป็นหวัด หากแต่เพราะหลายวันก่อนมีฝนตกลงมาหลายรอบ จึงทำให้พิษเย็นในกายกำเริบขึ้นจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อไป

“เสด็จพี่สาม พี่สะใภ้สาม!”

องค์ชายหกเห็นหน้าพวกเขา ก็ยิ้มอย่างเขินอายตามประสา พร้อมแสดงความเคารพอย่างมีมรรยาท

เวลาที่เขายิ้ม รูปนัยน์ตาที่คล้ายดั่งจิ้งจอกทำให้อวิ๋นหลิงอดคิดไปถึงกงจื่อโยวไม่ได้ เพียงแต่รอยยิ้มขององค์ชายหกมีความใสซื่อบริสุทธิ์ บุคลิกก็ต่างจากอีกฝ่ายราวฟ้ากับดิน

อวิ๋นหลิงเดินไปยังข้างเตียงของลี่ผิน “เสด็จแม่ ขอหม่อมฉันตรวจดูอาการรวมโดยก่อน”

ลี่ผินพยักหน้า แม้จะไม่คาดหวังใด ๆ แต่ยังคงให้ความร่วมมือเปิดผ้าห่มออก ทนต่อความเหน็บหนาวให้อวิ๋นหลิงได้ตรวจดูอย่างละเอียด

เซียวปี้เฉิงและคนอื่น ๆ ไม่สะดวกจะยืนดู จึงไปรอที่ห้องโถงด้วยความอดทน

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม อวิ๋นหลินค่อยเดินออกมาจากห้องชั้นใน

องค์ชายหกปรี่ไปถามด้วยความกังวล “พี่สะใภ้สาม อาการของเสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง?”

อวิ๋นหลิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดูไม่ยิ้มแย้มดั่งเคย เซียวปี้เฉิงเห็นเข้าก็รู้ว่าอาการไม่สู้ดี

เขาจึงถามว่า “ตรวจแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”

อวิ๋นหลิงเสียงต่ำตอบตามความเป็นจริง “อาการของเสด็จแม่ไม่สู้ดีนัก พิษเย็นในตัวคล้ายกับที่อวี้จือเคยได้รับ แต่นางเป็นหนักกว่า อีกทั้งพิษฝังอยู่ในร่างมาสามสิบกว่าปี ยากที่ยาทั่วไปจะรักษาได้”

พิษเย็นที่สืบทอดโดยสายเลือดชนิดนี้หาพบได้ยาก ถือเป็นหนึ่งในพิษร้ายแรงที่สุดในการวิจัยของอวิ๋นหลิงก็ว่าได้

“ขอเพียงรักษาเสด็จแม่ได้ ให้เจ็บแค่ไหนอวี้เหอก็ไม่เคยกลัว!”

อวิ๋นพลิงพนักหน้า “แม้จะไม่อาจถอนพิษได้โดยสิ้นเชิง แต่ข้าได้ปลูกสมุนไพรหายากไว้หลายชนิด เชื่อว่าจะปรุงยาเพื่อช่วยให้บรรเทาอาการนี้ได้”

สนมลี่ผินได้ยินดังนี้ สีหน้าก็รู้สึกตื้นตันนัก

เพราะเดิมทีคิดว่าให้อวิ๋นหลิงมาตรวจแล้ว นางพอช่วยให้อาการบรรเทาเบาบางลงบ้างก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ไม่นึกว่านางยังตั้งใจจะถอนพิษนี้ให้หายขาดจริง ๆ

“ขอบใจมากนะ ต้องให้เจ้ามาลำบากเพราะโรคของข้าแล้ว”

ลี่ผินเกิดความซาบซึ้งใจ จึงกระซิบให้ยิ่งซิ่วกูกูไปหยิบของสิ่งหนึ่งมา พร้อมกับมอบให้อวิ๋นหลิง

อวิ๋นหลิงเปิดกล่องออกดู เห็นข้างในมีหลอดกลมกะทัดรัดที่เลี่ยมด้วยทองแท้หนึ่งอัน แสงสีทองดูเปล่งประกายสว่างวิบวับ สะดุดตาผู้พบเห็นยิ่งนัก

“เสด็จแม่ นี่คือ...?”

“เป็นอาวุธลับเฉพาะของศิษย์สายตรงของสำนักทิงเสวี่ย มีชื่อว่าขนนกยูง” ลี่ผินกล่าวด้วยแววตาอ่อนโยน “ของสิ่งนี้ไม่เหมาะจะใช้ในยุคนี้อีกแล้ว แต่เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ทั้งยังประดับด้วยอัญมณีหลากสีอันล้ำค่า เจ้าเอาเส้นขนไปแกะออก ส่วนทองคำกับอัญมณีอื่นก็ไปขายเป็นเงิน ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าเถอะ”

เซียวปี้เฉิง “...”

ของตอบแทนจากพระสนมลี่ผินชิ้นนี้ จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิง เพียงแต่ทำให้เขาลำบากใจมากกว่า

ในขณะที่อวิ๋นหลิงตาลุกวาว กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ "ข้ายังไม่ได้รักษาท่านเลย ท่านจะมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่ข้าจริงหรือ?"

ลี่ผินอมยิ้มและพยักหน้า "ถือเป็นของขวัญที่พวกเจ้าใกล้จะย้ายเข้าอยู่ในตำหนักตงกง"

อวิ๋นหลิงรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก ลูบคลำขนนกยูงอันสวยงามพลางพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฉับพลันรอยยิ้มก็คล้ายค้างอยู่เช่นนั้น

นางเห็นในส่วนที่คอดของขนนกยูง สลักอักษรสามคำที่เล็กอย่างที่สุด---กงจื่อหว่าน

กงจื่อหว่าน นี่คือนามเดิมของพระสนมลี่ผินอย่างงั้นหรือ?

จู่ ๆ นางก็นึกไปถึงอีกคนหนึ่ง กงจื่อโยว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ