พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 561

เซียวปี้เฉิงเพียงหลุดปากพูดออกไป แต่ไม่นึกว่ากงจื่อโยวจะนึกถึงเฟิ่งเหมียนขึ้นมาจริงๆ

แต่เขากับเฟิ่งเหมียนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ได้ยินว่าบุรุษผู้นั้นเป็นคนสุดแสนเยือกเย็น จะบุ่มบ่ามไปหาถึงที่ก็ไม่ง่ายเลยดังนั้นจึงอาศัยแม่สาวน้อยเสวียนจีพาเขาไปแนะนำตัว

เขาใช้เงินที่ได้มาอย่างยากลำบากกับแม่สาวน้อยคนนี้ไปมากนัก ถึงเวลาเก็บดอกผลคืนบ้างแล้ว

อวิ๋นหลิงไม่มีเวลาสนใจความวุ่นวายของเรือนชิงซิน อีกไม่นานสำนักศึกษาชิงอี้ก็จะเริ่มเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ การปรับปรุงใหม่ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

เริ่มแรกเซียวปี้เฉิงเป็นผู้ปรับปรุงวาดภาพออกแบบขึ้นใหม่ ร่วมกับจักรพรรดิจาวเหรินและพวกโม่อ๋อง แล้วเพิ่มการออกแบบสไตล์โมเดิร์นหลายรูปแบบตามเค้าโครงดั้งเดิมของคฤหาสน์

ทั้งตระกูลหรงและตระกูลหลิ่วทุ่มเทกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ฝ่ายบริหารปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนของสองตระกูลนี้ และยังเป็นคนที่อวิ๋นหลิงกับสามีไว้วางใจมากที่สุด

บัดนี้ทั้งหกกรมของราชสำนักค่อยๆ แบ่งออกเป็นสามฝ่ายอย่างชัดเจน

บารมีในกองทัพของเซียวปี้เฉิงนั้นไม่มีใครเทียบได้ ตระกูลหรงกับตระกูลหลิ่วเป็นหัวหน้าของกรมอาญา พี่ใหญ่ฉู่อวิ๋นเจ๋อก็เป็นขุนนางผู้กว้างขวางในกรมอาญา ทุกคนในราชสำนักยอมรับว่ากรมอาญากับกรมกลาโหมเป็นกองกำลังขององค์รัชทายาทไปโดยปริยาย

กรมพิธีการกับกรมขุนนางเดินตามผู้กุมบังเหียนอย่างเสนาบดีขวาหลี่ ขณะที่เสนาบดีซ้ายเฟิงแม้จะจำศีลเงียบงันมานานกว่าครึ่งปี แต่เขาก็ยังสั่งสมบารมีในกรมคลังกับกรมโยธาไว้ไม่น้อย

อวิ๋นหลิงกับเซียวปี้เฉิงมองหาวันว่างได้แล้ว จึงไปสำนักศึกษาด้วยตนเองเพื่อตรวจรับผลคะแนนในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา

สำนักศึกษาชิงอี้ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอกงดงาม สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงบและสวยงาม

แต่ไหนแต่ไรมาสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นบ้านตากอากาศฤดูร้อน ชัยภูมิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทันทีที่เข้าไปจะรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลาย ช่วยไล่กระจายความร้อนออกไปไม่เหลือเลยสักนิด

เดิมทีมีเรือนหลายหลัง จะปรับปรุงใหม่ก็ทำได้ง่ายยิ่งนัก

วันนี้ผู้ที่พาพวกเขาเยี่ยมชมสำนักศึกษาคือหรงจั้น เขาสวมเสื้อคลุมบางสีขาว แลดูสง่างามและหล่อเหลา นัยน์ตาหงส์รื้นหยาดน้ำแวววาว

“ตามความเห็นของท่านทั้งสอง เขตการเรียนการสอนในสำนักศึกษาแบ่งออกเป็นสองเขตใหญ่ๆ กับห้องขนาดใหญ่หกห้องตามหกกรม”

ทางด้านตะวันตกคือสำนักศึกษาวรรณคดี จะสอดคล้องกับกรมพิธีการ กรมคลัง และกรมขุนนาง

ทางด้านตะวันออกคือสำนักศึกษาวิทยาศาสตร์ จะสอดคล้องกับกรมโยธา กรมอาญา และกรมกลาโหม ในนั้นห้องของกรมกลาโหมอยู่ใกล้กับสนามฝึกทหาร

หรงจั้นยังคงอธิบายต่อไป น้ำเสียงไพเราะราวกับน้ำพุใส “ทางทิศใต้คือประตูทางเข้าของสำนักศึกษาชิงอี้ เรือนทั้งสองข้างจะเป็นที่พำนักของศิษย์ ผู้ชายอยู่ทางซ้าย ผู้หญิงอยู่ทางขวา สามารถรองรับศิษย์ได้อย่างน้อยหนึ่งพันคน”

โครงสร้างหอนอนปัจจุบันเป็นเรือนสี่ประสานเล็กๆ สำหรับสี่คน ห้องปีกตะวันออกและตะวันตกพำนักได้สองคน ถือว่าเหมาะสมแล้ว

ทั้งยังมีที่ว่างให้ขยายต่อเติม ถึงอย่างไรภาพวาดต้นฉบับก็ออกแบบตามจำนวนศิษย์ห้าพันคน

“สำหรับบ้านพักอาจารย์นั้นจะตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสำนักศึกษา ขนาดพอๆ กับบ้านพักศิษย์ หากอยู่ไกลเกินไปนักก็จะไม่ขับรถไปดู”

ที่เรียกว่าบ้านพักอาจารย์นั้น จะว่าไปก็คือที่พำนักของคณะครูอาจารย์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ตามขนาดเริ่มต้นห้าร้อยคน

ลู่ฉีที่กำลังขับรถม้า อดถอนหายใจไม่ได้ “โอ้สวรรค์ สำนักศึกษาของพวกเราใหญ่เกินไปแล้วกระมัง ข้าน้อยคิดว่าหากจะเรียกว่าวังเล็กๆ ก็ไม่เกินไปเลย! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยเห็นสำนักศึกษาที่ต้องขับรถม้าเยี่ยมชม!”

อวิ๋นหลิงลอบยิ้มในใจ “เช่นนั้นเจ้ายังเห็นน้อยเกินไป”

หรงจั้นพูดยิ้มๆ “พวกปี้เฉิงคงหมายจะรับสมัครศิษย์ดีเด่นจากทั่วหล้าสินะ”

เนื่องจากสำนักศึกษาชิงอี้กินพื้นที่ขนาดใหญ่และใช้วิธีเดินเรียน เซียวปี้เฉิงจึงถึงขั้นจัดเตรียมรถม้าขนาดใหญ่ไว้หลายสิบคัน

นี่คือสิ่งที่อวิ๋นหลิงแนะนำ ไม่เช่นนั้นในโลกที่ไม่มีจักรยานเช่นนี้ ศิษย์ที่เข้าเรียนคงต้องเดินกันจนขาหัก

“เช่นนั้นข้าจะมอบร้านให้เจ้าแล้วกัน” อวิ๋นหลิงอดนึกขำไม่ได้ แล้วกำชับหรงจั้นว่า “หากญาติพี่น้องของศิษย์คนใดสนใจทางด้านนี้ ก็จัดการให้พวกเขาก่อนได้เลย”

ในสำนักศึกษาชิงอี้ยังมีศิษย์ยากจนอีกมาก นางย่อมใส่ใจเด็กๆ ของนางก่อน

หลังจากเยี่ยมชมสำนักศึกษาชิงอี้เสร็จ ก็เป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว

สำนักศึกษาชิงอี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงกินเนื้อที่ของหมู่บ้านน้ำพุร้อนดั้งเดิมไปประมาณครึ่งหนึ่ง เป็น ‘วังเล็กๆ’ ได้เลยไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด

ส่วนพื้นที่อีกครึ่งหนึ่ง เซียวปี้เฉิงเคยเอามาใช้เป็นค่ายฝึกทหารฝึกกำลังพลชั่วคราว เมื่อสำนักศึกษาเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ต่อไปก็จะมีแผนการอื่นๆ จัดทำขึ้นตามมา

ท่ามกลางแสงสายัณห์อาบย้อม เซียวปี้เฉิงทอดสายตามองสำนักศึกษาที่เร้นกายอยู่ในขุนเขา เขารู้สึกได้ถึงความพอใจและภาคภูมิใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

“ช่างเป็นดินแดนที่งดงามดั่งภาพวาดโดยแท้”

อวิ๋นหลิงมองไปตามสายตาของเขา นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนเหลือแสน

“ท่านบอกว่าตอนพระเจ้าหลวงพิชิตแผ่นดินแคว้นต้าโจวได้ ก็ยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองแล้วมองออกไปเห็นเมืองหลวง ใช่ความรู้สึกเดียวกับพวกเราตอนนี้หรือไม่”

เซียวปี้เฉิงพยักหน้า ตอนทำพิธีขึ้นครองราชย์นั้น เขาไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งเท่ากับตอนนี้เลย

หัวใจเขาเต้นแรงโครมคราม ควบคุมตัวเองไม่ได้ เต็มไปด้วยความหวังของวันพรุ่งนี้ และรู้สึกถึงความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จากแท่นเรียงพิมพ์ไปจนถึงห้องสมุดเมืองหลวง เดินไปทีละขั้นๆ ไม่รู้ว่าตรวจฎีกายามค่ำคืนหมดน้ำมันตะเกียงไปเท่าใด

แม้ว่าจะเป็นสำนักศึกษาเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ก็เป็นดินแดนอีกมุมหนึ่งที่พวกเขาสองสามีภรรยาร่วมมือกันสร้างขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ