พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 631

อวิ๋นหลิงเห็นสีหน้าของเสิ่นชิ่น

ถึงแม้น้ำเสียงเสิ่นชิ่นจะเย็นชา ทว่าตอนที่พูดมือกำแนบแน่น นัยน์ตาเผยความเจ็บปวด

ไม่ว่าจะความผูกพันระหว่างสามีภรรยา หรือความเจ็บปวดของการโดนหลอก โดนทรยศ ล้วนเป็นรอยแผลที่ไมอาจสลัดทิ้งทิ้งได้

อวิ๋นหลิงจึงต้องเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เอาเรื่องนั๋วเอ๋อร์มาเบี่ยงเบนความสนใจของเสิ่นชิ่น

สองสามีภรรยานั่งในเรือนหลังเล็กครึ่งวัน เมื่อเห็นว่าตะวันใกล้ลับขอบฟ้า จึงปฏิเสธคำชวนกินข้าวเย็นของเสิ่นชิ่นอย่างถนอมน้ำใจ และเดินทางกลับพระราชวัง

รถม้าหรูหราเคลื่อนขบวนบนท้องอย่างมั่นคง เสียงกีบเท้าม้าดังกึก ๆ

อวิ๋นหลิงแหวกม่านดูทิวทัศน์ด้านนอก ก่อนจะอุทานว่า “ช่างต้าโจวทำงานเร็วมาก เพิ่งจะผ่านมาครึ่งเดือน แต่ซ่อมถนนจูเชี่ยและถนนสายอื่นๆได้กว่าครึ่งแล้ว”

เซียวปี้เฉิงส่งยิ้มให้นาง “ถนนใหญ่ที่เหลือสองสายก็คาดว่าจะซ่อมเสร็จภายในสิ้นเดือน”

กรมโยธากำลังซ่อมบำรุงถนนอย่างหนัก พยายามทำงานให้ได้มากๆก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน เพราะตอนนั้นจะมีหิมะโปรยปราย ไม่เอื้ออำนวยต่อการซ่อมแซมถนนหนทาง

เขาทำตามคำแนะนำของพวกพี่น้องอวิ๋นหลิง สั่งให้คนงานทาสีขาวแถบใหญ่บนถนนเพื่อแบ่งซีกหนึ่งเป็นทางไป อีกซีกหนึ่งเป็นทางกลับ

ส่วนริมถนนทางสองทางนอกจากจะเป็นทางเท้าแล้ว ยังมีพื้นที่ว่างให้ประชาชนนำสินค้าไปวางขายด้วย ยามนี้ดูแลเป็นระเบียบเรียบร้อย สบายตายิ่ง

ชวนให้อวิ๋นหลิงรู้สึกได้กลับไปอยู่ในโลกอนาคต ตอนนี้ก็เหลือเพียงไม่ได้ทำทางม้าลายกับติดตั้งสัญญาณไฟจราจรแล้ว

นางปล่อยม่านลงแล้วพิงไหล่เซียวปี้เฉิง ก่อนจะหลับตาพริ้ม

ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงม้าคำรามดังก้องกะทันหัน รถม้าโคลงเคลงสองสามทีถึงจะหยุดนิ่ง

เซียวปี้เฉิงแหวกม่านออกแล้วขมวดคิ้วมุ่น “เกิดอะไรขึ้น?”

ทหารที่ทำหน้าที่เป็นสารถีกล่าว “ทูลรัชทายาท เมื่อครู่หน้าประตูร้านอาหารเทพเซียนมีคนทะเลาะวิวาทกัน ลูกค้าตกใจวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น รถม้าของพวกเราเกือบไปชนประชาชนที่เดินผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ”

อวิ๋นหลิงได้ยินประโยคนี้ก็ชะเง้อไปดูเหตุการณ์

ก่อนจะเห็นประชาชนมุงดูจริง และยังมีเด็กหญิงตกใจจนสะดุดล้ม นั่งร้องไห้ฟูมฟายบนพื้น

พวกเขาสองสามีภรรยาเห็นแล้วก็รีบลงจากรถม้า เซียวปี้เฉิงเอ่ย “ถนนด้านหน้าไปไม่ได้แล้ว ข้าลงไปดูก่อน”

อวิ๋นหลิงพยักหน้า เห็นข้างถนนมีร้านขายถังหูลู่ จึงซื้อรสชาติต่างๆมาสามไม้ แล้วเดินไปหาเด็กผู้หญิงที่อายุประมาณสี่ห้าขวบไป

ทว่ากลับเห็นมีชายหนุ่มเสื้อสีเทามาพยุงเด็กผู้หญิงขึ้นแล้ว

“เด็กนอย ล้มเจ็บไหม? พี่เอาถังหูลู่ให้เป็นการขอโทษ” อวิ๋นหลิงยื่นถังหูลู่ไป เด็กหญิงหยุดร้องทันควัน

อวิ๋นหลิงถึงสังเกตพบว่าชายเสื้อสีเทาแต่งกายแปลก ๆ

อีกฝ่ายใส่เสื้อไต้ซือ ทว่ากลับมีเส้นผมยาวดกดำที่รวบเป็นหางม้า

บนคอห้อยลูกประคำขนาดพอดี บนคาดเอวด้วยแส้หางม้า

นางเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็ต้องอึ้ง

ทุกอิริยาบถของไต้ซือน่ายำเกรง ท่าทางสง่าผ่าเผย ราวกับเทพเซียนไม่มีผิดเพี้ยน

หว่างคิ้วของเขามีไฝสีแดงชาด ชวนให้รู้สึกว่าเจอผู้โดดเด่นเหนือผู้อื่น

“ท่าน...ท่านคือใคร?”

อวิ๋นหลิงรู้สึกอีกฝ่ายอ่อนโยน รู้สึกถูกชะตาและอยากพึ่งพา จึงเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว

ไต้ซือเสื้อสีเทาส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง ไฝหว่างคิ้วสดใสดุจบุปผา

ด้านในห้องโถงชั้นหนึ่ง ใบหน้าจางอวี้ซูบวมเป่ง ด้านข้างยังมีข้ารับใช้ที่บาดเจ็บสองคนด้วย

เขาจ้องหลี่เมิ่งชูด้วยสายตาโหดเหี้ยม ความเกลียดชังในนัยน์ตาเด่นชัด

“มิน่าล่ะเจ้าถึงแอบไปสอบเข้าสำนักศึกษาชิงอี้ ทั้งยังยืนกรานจะถอนหมั้น ที่แท้ก็เพื่อลูกอนุภรรยาที่ไม่มีหน้ามีตา”

มุมตรงข้ามเขา เฟิงอู๋จียืนพิงเสา หางคิ้วมีเลือดซึมออกมา หลี่เมิ่งชูกำลังเอาผ้าเช็ดแผลของเขาด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ

นางได้ยินประโยคนี้ก็มองจางอวี้ซูด้วยความโมโห ทั้งยังตวาดใส่อีกฝ่ายว่า “อย่ามาพูดมั่วๆ อย่าเอาความคิดโสมมของเจ้ามาตัดสินคนบริสุทธิ์”

จางอวี้ซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนบริสุทธิ์? ชายกับหญิงนัดเจอในร้านอาหารสองต่อสอง ทั้งยังมอบของให้กันและกัน บอกใครใครจะเชื่อ”

เฟิงอู๋จีมองเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่ชอบหน้าข้าก็มาลงที่ข้า ไยต้องทำลายชื่อเสียงของสตรีด้วย หาได้ใช่ลูกผู้ชายอกสามศอกไม่”

วันนี้เป็นวันหยุด บัณฑิตของสำนักศึกษาชิงอี้กลับบ้านที่เมืองหลวงไม่น้อย เขาก็คิดจะกลับมาอยู่กับบิดา และถือโอกาสซื้อของใช้จำเป็น

ถึงแม้สำนักศึกษาชิงอี้จะมีตลอดเล็กๆ ทว่าในเมืองหลวงมีของครบครัน แล้วร้านหนังสือก็ยังมีสินค้าใหม่ที่อวิ๋นหลิงวางขาย ตอนที่เฟิงอู๋จีมาจ่ายตลาดบังเอิญเจอหลี่เมิ่งชูพอดี

พวกเขาสองคนเจอกันก็ย่อมต้องชวนกันไปซื้อของด้วยกัน และถือโอกาสกินข้าวเย็นด้วยกัน

หลี่เมิ่งชูชอบของที่มีลายดอกไม้ เฟิงอู๋จีเห็นว่านางมีบุญคุณต่อตน จึงมอบของให้นาง

หลี่เมิ่งชูไม่อยากรับมาฟรีๆ จึงเอาของตัวเองแลกกับเขา ทว่าจางอวี้ซูที่เดินตะลอนไปทั่วมาเห็นเข้า

เขารู้ว่าหลี่เมิ่งชูเคยเขียนจดหมายเพื่อช่วยอีกฝ่าย จึงบันดาลโทสะ เกิดปากเสียงกัน

เฟิงอู๋จีทนฟังเขาปรักปรำหลี่เมิ่งชูไม่ได้ จึงลงไม้ลงมือ

จางอวี้ซูได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะเยาะ “เหอะ ตอนนี้เปลี่ยนมาเรียกแม่นางหลี่แล้วเหรอ? เมื่อครู่เห็นเรียกสนิทปากว่าเมิ่งซู ไม่ใช่สนิทชิดเชื้อมากหรอกหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ