พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 637

ข่าวมาถึงช้ากว่าที่คิดอยู่บ้าง

อวิ๋นหลิงแกะจดหมายอย่างอดรนทนไม่ไหว ด้านในยัดกระดาษหนาหลายใบเอาไว้ เซียวปี้เฉิงยื่นหน้าเข้ามา พยายามอ่านอักขระตัวสะกดแบบดั้งเดิมและตัวย่อที่หลิวฉิงเขียนผสมปนเปกันด้วยลายมือฉวัดเฉวียน

ส่วนใหญ่แล้วเป็นลายมือของหลิวฉิง ยังมีเนื้อหาบางส่วนในจดหมายเป็นการเขียนด้วยลายมือของกู้ฉางเซิน

“ข้าเผลอทำร้ายจักรพรรดิเป่ยฉินจนสมองกระทบกระเทือนเล็กน้อย โชคดีที่ยังไม่ตาย”

อวิ๋นหลิงกางจดหมายออก สิ่งแรกที่เห็นก็คือประโยคนี้

“เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ ตอนที่ข้ากับเจ้าหวังเร่งเดินทางกลับไป จักรพรรดิฉินบาดเจ็บสาหัสจนล้มหมอนนอนเสื่อ สมุหราชเลขาธิการซูเตรียมจะบีบบังคับให้สละบัลลังก์แล้ว”

“แต่อาการการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครในเป่ยฉินสู้ข้าได้ ตอนนั้นเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญไม่เกรงกลัวใคร เด็ดหัวสุนัขของสมุหราชเลขาธิการซู.......”

กู้ฉางเซินกลับเขียนอธิบายเรื่องราวในจดหมายได้ละเอียดกว่า

เล่าว่าตอนที่พวกเขาเร่งเดินทางกลับไปถึงเมืองหลวงของเป่ยฉิน พระราชวังได้ถูกตระกูลซูควบคุมไว้แล้ว จักรพรรดิฉินปกปิดความลับไว้นานมาก สุดท้ายอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนก็รู้เรื่องที่เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และได้เชิญท่านหมอจากแดนไกลอย่างซีโจวมาทำการรักษา

หลังจากที่ตระกูลโจวรู้ข่าว ก็รีบฉวยโอกาสปิดเมืองหลวง เตรียมจะหาตราลัญจกรเพื่อวางแผนชิงบัลลังก์

ตอนที่กู้ฉางเซินกับที่ปรึกษาภายใต้บังคับบัญชาวางแผนหารือกันตลอดทั้งคืนนั้น ใครก็คาดไม่ถึง หลิวฉิงไม่แอบแฝงตัวเข้าไปในวังหลวงโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ ทำการสังหารหัวหน้าโจรก่อกบฏที่อยู่ในนั้นทั้งหมด

นางอวดดีมาก นางไม่ได้ใช้แม้กระทั่งพลังจิต ถือดาบเข้าไปอบอุ่นร่างกายออกกำลังเสียแล้ว

เหล่าทหารกบฏทั้งวังหลวงต่างก็รู้สึกมึนงงมาก พวกเขารับคำสั่งให้ลาดตระเวนตามตำหนักต่างๆอย่างเคร่งครัดเหมือนปกติ แต่เหล่าผู้บังคับบัญชากลับนอนแน่นิ่งกันไปหมดแล้ว

หลังจากที่กู้ฉางเซินได้ข่าว ก็รีบพากลุ่มพลปืนไฟหนึ่งร้อยนายจากแคว้นต้าโจว รุดไปช่วยเหลือด้วยความร้อนใจ

มีปืนคาบศิลาอยู่ในมือ การบุกเข้าไปในพระราชวังไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกทหารกบฏที่ไร้ผู้นำ เสียเวลาไม่เท่าไหร่ก็สามารถกลับมาควบคุมวังหลวงได้อีกครั้งแล้ว

“บางทีหลิวฉิงอาจจะหลงใหลในการต่อสู้มากเกินไป เผลอทำให้ทหารฝ่ายเดียวกันได้รับบาดเจ็บอย่างไม่ตั้งใจ โชคดีที่น้องสามมอบยาวิเศษไว้ให้ คนของฝ่ายหลานชายข้าจึงไม่ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต......”

อวิ๋นหลิงแปลข้อความอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดที่ว่าเกือบนั้นแปลว่าพี่ฉิงฆ่าอย่างเมามันมาก ไม่สนว่าจะเป็นคนของฝ่ายใด ทำร้ายจักรพรรดิฉินด้วย

หลิวฉิงทำการแก้ตัวต่อการกระทำของตัวเองในจดหมาย

“ตอนที่ข้าไปช่วยจักรพรรดิฉิน ข้างนอกมีทหารกบฏบุกเข้ามาจำนวนมาก เขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่นอนนิ่งๆก็แล้วไปเถอะ ยังจะมาเพิ่มความวุ่นวายให้ข้าอีก”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดจะช่วยข้า เลยคิดว่าเป็นทหารกบฏลอบทำร้าย เรื่องนี้จะโทษข้าได้อย่างไร”

ตอนนั้นมีทหารกบฏคนหนึ่งแอบโจมตีมาจากทางด้านหลัง หลิวฉิงมีพลังจิตที่สามารถล็อกตำแหน่งของทุกคนได้ ย่อมไม่รู้สึกกังวลใจเลยสักนิด

แต่จักรพรรดิฉินกลับกระวนกระวายมาก ไม่พูดพร่ำทำเพลงคิดจะเข้าไปขวางทางดาบแทนนาง ปรากฏว่าขวางดาบไม่ได้ กลับถูกหลิวฉิงต่อยเข้าไปหนึ่งหมัด ทำให้เลือดกำเดาไหลพุ่งออกมาจนเป็นลมสลบไปทันที

รอจนกระทั่งเขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทหารกบฏต่างก็ยอมจำนนกันหมดแล้ว กู้ฉางเซินยืนอยู่ข้างเตียงมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วง เขายังคิดว่าเป็นความฝันจนเกิดภาพหลอน

“กล่าวโดยสรุปคือความวุ่นวายภายในของเป่ยฉินสงบลงแล้ว แต่อาการบาดเจ็บของจักรพรรดิฉินยังไม่ดี ตอนนี้เจ้าหวังต้องช่วยทำงานสะสางปัญหาแทนเขา”

“ส่วนข้า ทางด้านตระกูลฟงก็มีเรื่องมากมายให้สะสาง ยังต้องทำเรื่องหย่ากับจักรพรรดิฉินอีก คงไม่สามารถกลับไปได้ในเร็ววันนี้”

ถือว่าทำให้พี่ฉิงลำบากใจแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน ใช้สมองทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังสรรหาคำที่เหมาะสมจะใช้เปรียบเทียบคำว่าแอบรักไม่ได้

แต่เซียวปี้เฉิงกลับรู้สึกว่ากู้ฉางเซินนั้นลำบากมากกว่า คนอื่นเขาเอาแผ่นดินแลกกับสาวงาม ส่วนเขากลายเป็นว่าเอาแผ่นดินแลกสาวงามเพื่อเปิดหูเปิดตา สิ่งที่ต้องแลกก็ยิ่งใหญ่พอสมควร

“เจ้าหวังบอกว่า รอให้อาการบาดเจ็บของจักรพรรดิฉินหายดีแล้วเขาก็จะสละตำแหน่ง วางแผนจะไปจากเป่ยฉิน ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาชิงอี้ ถึงเวลาไม่มีที่อยู่ หวังว่าพวกเราจะรับเขาเอาไว้ ท่านช่วยข้าดูบ้านไว้ล่วงหน้าสักหน่อย ถามกงจื่อโยวด้วยว่าสามารถช่วยเหลือในฐานะเพื่อได้ไหม ข้าไม่มีเงิน”

“ส่วนข้า เมื่อกลับไปแล้วอยากจะเปิดสวนสัตวาสักแห่ง ถึงเวลาก็จับสัตว์ทั้งหลายมาช่วยข้าหาเงิน ใช่แล้ว ระหว่างทางกลับมาเป่ยฉินครั้งนี้ ข้ายังสามารถปราบอินทรีทองได้หนึ่งคู่อย่างไม่ตั้งใจ......”

อวิ๋นหลิงจุ๊ปาก นั่นมันอินทรีทองเชียวนะ

เป็นนกนักล่าที่ล่าได้แม้กระทั่งหมาป่า พลังในการต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเจ้าเสือขี้แยที่เป็นสัตว์นำโชคไม่รู้ตั้งกี่ระดับ

ตามที่หลิวฉิงเล่ามา ตอนที่นางนำกองทัพเดินทางอยู่นั้น พบว่ามีหมีเตียวตัวหนึ่งกำลังแอบกินไข่ของนกอินทรีทอง จึงอยากจะชิงตัดหน้าไปเอาไข่ จะได้ทอดให้กู้ฉางเซินกินเพื่อบำรุงร่างกาย

พิษในร่างกายของอีกฝ่ายยังกำจัดออกไปไม่หมด สมรรถภาพร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ต้องบำรุงให้ดี

“แต่จู่ๆก็มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา ขอร้องข้าอย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บอกว่านี่เป็นวาสนาของข้า คนคนนั้นน่าประหลาดมาก สวมชุดนักบวชและถือลูกประคำแต่ศีรษะไม่โล้น ที่เอวยังมีพัดขนเหน็บไว้หนึ่งอัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นพระหรือนักบวชลัทธิเต๋า”

“ข้าเห็นเขาแวบเดียวก็รู้สึกคุ้นเคยกับเขามาก เหมือนเขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดที่พลัดพรากกันหลายปี ทำให้ข้าอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกรักและเคารพ.....”

หลังจากนั้นหลิวฉิงก็ทำตามสิ่งที่เขาพูด หลังจากไล่หมีเตียวไปแล้ว ก็นิ่งอยู่ที่เดิมรอให้อินทรีทองกลับมาที่รัง สุดท้ายก็บังเอิญปราบอินทรีทองได้หนึ่งคู่

อวิ๋นหลิงอ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกนิ่งอึ้งไป อดไม่ได้ที่จะนึกถึงนักบวชหน้าตางดงามคนหนึ่งที่ตนเหลือบไปเห็นเมื่อหลายวันก่อน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ