หลังจากผ่านค่ำคืนแห่งความโกลาหลไป จวนจินอ๋องก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
กงจื่อโยวใช้เวลาหลายเดือนเตรียมจัดงานเลี้ยงแต่งงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าห้องหอในคืนวันวิวาห์ด้วยซ้ำ คำว่าอเนจอนาถคำเดียวคงไม่เพียงพอจะอธิบายความทุกข์ระทมใจได้
ยามท้องนภาทอประกายแสงเล็กน้อย หลงเย่ก็ตื่นขึ้นมาก่อน
กงจื่อโยวที่ไม่ได้นอนทั้งคืนรีบโน้มตัวเข้าไปใกล้ ดวงตาแดงซ่านไปด้วยเส้นเลือดเต็มไปด้วยความห่วงใย
“หลงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกปวดหัวอยู่หรือเปล่า”
หลงเย่ส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่าตาเจ็บและบวมมาก”
อวิ๋นหลิงได้ยินเช่นนี้ รีบหยิบผ้าฝ้ายสะอาดจุ่มน้ำยาแล้วทาบนใบหน้าของนางทันที
หน้ากากเงินผู้แปรงฟันสิบสามครั้งในคืนเดียวก็ถอนหายใจ เริ่มพร่ำด่าสาปแช่งฟงอิ๋งอิ๋งอีกครั้ง
“ต้องโทษนางที่ทำให้งานเลี้ยงแต่งงานยุ่งเหยิง เมื่อวานแขกเหรื่อเยอะแยะก็ยังไม่ทันให้ของขวัญหรือเงินด้วยซ้ำ!”
คำพูดของเขาเตือนสติหลิงซูว่าเมื่อวานมีไต้ซือผู้หนึ่งให้ของขวัญแต่งงานหลงเย่ แต่ยังไม่ได้มอบของให้กับมืออีกฝ่ายเลย
ฉุกนึกได้ดังนี้ หลิงซูก็ไปเอากล่องไม้ที่ห้องคลังมา แล้วอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว
อวิ๋นหลิงสะดุ้งเล็กน้อย เอ่ยถามโดยไม่รู้ตัวว่า “ไต้ซือผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไว้ผมยาว มีแต้มชาดแดงจุดหนึ่งตรงหว่างคิ้ว และเหน็บแส้หางม้าที่เอวใช่หรือไม่”
หลิงซูกำลังจะตอบ แต่จู่ๆ คำพูดก็ติดค้างอยู่ในลำคอ สายตาฉายแววงุนงง
“ดู…ดูเหมือนจะใช่…ข้าจำไม่ได้แล้วหรือนี่”
แปลกจริงๆ เขาจดจำได้ว่ามีไต้ซือให้ของขวัญได้แม่น แต่อีกฝ่ายมีหน้าตาเป็นเช่นไร ในสมองเขากลับมีเพียงความทรงจำเลือนราง จำใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้เลย
หลิงซูเกาคางแล้วเปิดกล่องออก
อวิ๋นหลิงรู้สึกถึงความคุ้นเคยเช่นนี้ทันที ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างตอบรับกับพลังจิตของนาง
แม้แต่หลงเย่ก็หยิบผ้าฝ้ายออกจากใบหน้าโดยพลัน จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่ง
ทั้งสองจ้องมองตรงไปยังหลิงซู เห็นในมือเขาถือกล่องโทรมๆ ใบหนึ่ง ในนั้นมีหินสีแดงที่สวยงามสะดุดตาวางอยู่ คล้ายจะมีประกายพร่างพราวอยู่ข้างใน
หลิงซูตกใจสะดุ้งโหยงกับสายตาของพวกนาง “พวก...พวกท่านจู่ๆ ก็มองข้าเช่นนี้ทำไม น่ากลัวจริงแท้…”
เปลือกตาของอวิ๋นหลิงกระตุก รีบหยิบหินสีแดงขึ้นมาตรวจดูแวบหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ก้อนที่นางวางไว้ใต้เตียงในตำหนักบูรพา
หินอุกกาบาตก้อนนั้นของแคว้นเป่ยฉินอยู่ในมือของจักรพรรดิฉินน้อย ส่วนหินอุกกาบาตของแคว้นตงฉู่อยู่ในมือของจักรพรรดิฉู่ผู้เฒ่า
เช่นนั้นก้อนนี้...
พี่น้องทั้งสองมองหน้ากัน หลงเย่สีหน้าตกใจเล็กน้อย โพล่งออกมาว่า “นี่คือหินอุกกาบาตที่ถูกแคว้นถังใต้โยนทิ้งไป!”
“อะไรนะ นี่คือชิ้นส่วนของหินอุกกาบาตก้อนนั้นหรือ” กงจื่อโยวจ้องมองด้วยความตื่นตระหนก “ไต้ซือผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดจึงมีเศษหินอุกกาบาตนี้อยู่ในมือ ซ้ำยังกำชับให้หลิงซูมอบให้หลงเอ๋อร์ด้วย?”
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนเริ่มสงสัยใคร่รู้ในตัวไต้ซือผู้ลึกลับท่านนี้
ในใจอวิ๋นหลิงปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นมารางๆ หวู๋ซินไต้ซือ
หลายคนกำลังนึกฉงน จู่ๆ ก็เห็นเซียวปี้เฉิงก้าวพรวดเข้ามาในห้อง ตามหลังมาด้วยเฟิ่งเหมียนและเสวียนจี
“หลิงเอ๋อร์ ข้ากับแม่สาวน้อยดูเหมือนจะ...”
เขาพูดไปได้ครึ่งเดียว สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หินอุกกาบาตสีแดงด้วยท่าทางตกใจเหมือนกัน
เสวียนจีรีบวิ่งเข้าไปทันที สองตาทอประกายวาวโรจน์พลางเอ่ยว่า “ว้าว ว้าว ว้าว! พวกท่านไปเอาสมบัตินี้มาจากไหน”
พวกเขากำลังคุยกันเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ตอบรับกับพลังจิต จึงรีบรุดมาตรวจสอบสถานการณ์
อวิ๋นหลิงอธิบายสองสามคำ ให้หลิงซูออกไปโดยอ้างว่าต้องดูแลผู้บาดเจ็บ ก่อนเพ่งสายตาไปยังใบหน้าของเฟิ่งเหมียนเล็กน้อย
“นักพรตน้อย ข้าจำได้ว่าตอนที่ท่านไปเยี่ยมชมจวนจิ้งอ๋องครั้งแรก บอกว่าเคยพบกับหวู๋ซินไต้ซือมาก่อน ท่านช่วยอธิบายลักษณะของเขาได้หรือไม่”
เฟิ่งเหมียนไม่เข้าใจว่าไฉนจู่ๆ นางจึงถามเรื่องนี้ กำลังจะเอ่ยตอบ ก็ชะงักไปเล็กน้อย
บรรยากาศเงียบไปชั่วครู่ เขาเอ่ยอย่างชั่งใจ “บางทีความทรงจำข้าอาจไม่ดีนัก จึงจำลักษณะของหวู๋ซินไต้ซือไม่ได้เลย...”
เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นมาหมุนไปมาท่ามกลางแสงที่เปลี่ยนไป ในที่สุดพวกอวิ๋นหลิงก็มองเห็นใต้กล่องไม้ชัดเจนว่ามีรอยบางๆ สีทองจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายจะเป็นลวดลายที่สลับซับซ้อนและงามวิจิตรประณีต
เฟิ่งเหมียนเห็นลวดลายนั้น ใบหน้าที่ยามปกติสงบไร้ริ้วอารมณ์ก็ตื่นตระหนกขึ้นทันที
“ข้าเคยเห็นลวดลายนี้มาก่อน”
“ท่านเคยเห็นหรือ”
ทุกคนมองเฟิ่งเหมียนโดยพร้อมเพรียงกัน
เฟิ่งเหมียนพยักหน้า กล่าวด้วยสายตาคลุมเครือ “ตอนที่ข้าเกิด มีชายคนหนึ่งขึ้นเขาไปเยี่ยมชมวัดไท่ชิง เขาบอกพ่อข้าว่าข้าเป็นนักพรตเต๋าโดยกำเนิด มีพรสวรรค์พิเศษในการรู้แจ้ง แต่ยังตัดเรื่องทางโลกไม่ได้จึงต้องอยู่ในโลกมนุษย์ชั่วระยะหนึ่ง ต้องเข้าสู่โลกก่อนจึงจะเกิดในภพหน้าได้”
อีกฝ่ายยังมอบยันต์ป้องกันตัวให้เขาด้วย กำชับบิดาให้บอกเขาพกติดตัวไว้จนกระทั่งอายุสิบหกปี
หากพกยันต์ป้องกันนี้ติดตัวไว้ และพำนักอยู่ในวัดไท่ชิงไปอย่างยาวนาน ก็จะไม่ถูกวิญญาณชั่วร้ายมารบกวน
ก่อนอายุสิบหกปี เฟิ่งเหมียนไม่เคยก้าวออกจากวัดไท่ชิงเลยแม้แต่ก้าวเดียว
จวบจนกระทั่งถึงวัยสิบหก เขาจึงออกจากวัดไท่ชิงตามคำสั่งบิดา ไปช่วยดูดวงดาวที่สำนักหอดูดาวหลวงในพระราชวังแคว้นตงฉู่ ขณะเดียวกันก็รอคนที่ถูกลิขิตไว้ด้วย
ลงเขาไปไม่นาน ยันต์ป้องกันตัวก็ลุกไหม้ได้เองโดยไม่ต้องใช้ไฟ เขาดับไฟบนยันต์ป้องกันตัว หยิบกระดาษที่ไหม้ครึ่งหนึ่งออกมาจากด้านใน
ลายอักขระครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่บนนั้นเหมือนกับลวดลายใต้กล่องไม้ทุกประการ
เฟิ่งเหมียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก “ข้าเคยถามบิดาว่าผู้สูงส่งท่านนั้นเป็นใคร แต่บิดาก็บอกว่าเขาจำรูปร่างหน้าตาของคนนั้นไม่ได้เลย เป็นเพราะความลึกลับดูประหลาด บิดาจึงปักใจเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา บังคับข้าอยู่แต่ในวัดตลอดมา”
พวกอวิ๋นหลิงฟังถึงตรงนี้ ต่างพากันกลั้นหายใจอย่างไม่อาจควบคุม
“ปีนี้นักพรตน้อยครบยี่สิบเจ็ดปีแล้ว...ผู้ที่ให้ยันต์ป้องกันตัวกับท่านตั้งแต่เกิด คงอยู่ในวัยสี่สิบได้แล้วกระมัง”
แต่ไต้ซือรูปงามที่นางกับหลิวฉิงเคยพบ ดูเหมือนอายุเพียงยี่สิบเศษๆ ยังเด็กนัก
หากไต้ซือที่ส่งหินอุกกาบาตมาเป็นคนเดียวกับที่ส่งยันต์ป้องกันตัว และเป็นหวู๋ซินไต้ซือที่ไม่มีใครจดจำรูปลักษณ์ได้...
คิดๆ ดูแล้วก็น่ากลัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ
วิธีเติมเหรียญตรงไหนอย่างไร...
จะมีอัพต่อจนจบไหมค่ะแอด...
นึกว่าจะอัพจนจบเสียอีกค่ะ กำลังสนุกเข้มข้นเชียว...
รบกวนแอดช่วยอับต่อไปให้จบเรื่องได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
ตอนต่อไปอ่านที่ไหนคะ...
ตอนต่อไป อัพช่วงไหนคะ 😭😭😭...
อัพต่อเถอะนะคะ...กำลังสนุกเลยค่ะ😅😄😊😘...
สนุกมากค่ะ..เดินเรื่องเร็ว..พระเอกไม่โง่..นางเอกฟาดแรงสะใจ...อ่านแล้วบันเทิงมาก55555......
ขอบคุณค่ะ...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลย...