พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 652

ภายใต้การออดอ้อนขอร้องของนั่วเอ๋อร์ ในที่สุดเสิ่นชิ่นก็ก้าวเข้าไปในเรือนรับแขกด้วยสีหน้าลำบากใจ

ในเรือนมีเสียงหัวเราะดีใจของนั่วเอ๋อร์ดังขึ้นมาเป็นระยะ

จักรพรรดิจาวเหรินกลับเดินย่ำไปมาอยู่หน้าประตูลานบ้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ยกเท้าก้าวเข้าไปข้างในไม่ได้ สีหน้าสับสนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เดินวนเวียนกระทั่งถึงเวลาพลบค่ำ อวิ๋นหลิงตาลายไปหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ

“พวกเขาสามพ่อแม่ลูกยากจะได้พบหน้ากัน ข้าไม่ไปรบกวนดีกว่า จากนี้ไปหากนั่วเอ๋อร์คิดถึงพ่อแม่ ก็ให้คนส่งนางออกมานอกวังให้พบเจอกันมากขึ้น”

จักรพรรดิจาวเหรินเอ่ยอย่างลังเล “ข้า......ข้ายังมีฎีกาต้องตรวจอีกมาก ข้าขอตัวกลับวังก่อนแล้วกัน”

อวิ๋นหลิงไม่ได้รั้งเอาไว้ และส่งคนไปคุ้มกันเขากลับวังหลวง

ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างจักรพรรดิจาวเหรินและเสียนอ๋องนั้นซับซ้อนมาก ถูกหรือผิด ยากจะพูดได้จริงๆว่าใครมีเหตุผลมากกว่ากัน

เสียนอ๋องแม้จะทำผิด แต่การที่เขาได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

เซียวปี้เฉิงรู้สึกทอดถอนใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเสียนอ๋องในตอนนี้น่าสงสารมาก

เดิมทีก็เป็นคนที่พ่อไม่รักแม่ไม่สนใจอยู่แล้ว มีอันชินอ๋องที่ดูแลเขาราวกับพ่อแท้ๆ ที่สุดแล้วก็แค่หลอกใช้เขามาเป็นเวลาหลายปี

มีภรรยาที่รักมาก แต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่แตกต่างอะไรไปจากผู้โดดเดี่ยวเดียวดายเลย

อาทิตย์อัสดงที่ปลายขอบฟ้า ในที่สุดเสิ่นชิ่นก็อุ้มลูกสาวที่หลับสนิทเดินออกมา มุมปากของนั่วเอ๋อร์มีน้ำลายไหลออกมา นอนหลับสนิท

ดวงตาของเสิ่นชิ่นบวมแดงเล็กน้อย หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็ส่งตัวนั่วเอ๋อร์ให้กับสองสามีภรรยาอวิ๋นหลิง มองส่งพวกเขากลับวังอย่างอาลัยอาวรณ์

ชีวิตเหมือนจะกลับสู่ความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้ง

ผ่านไปหลายวัน ทางด้านกงจื่อโยวส่งข่าวมา บอกว่าหลังจากที่จักรพรรดิจาวเหรินมอบรางวัลให้ สองสามีภรรยาเสียนอ๋องต่างก็แยกย้ายกันไป

เสิ่นทัวยังคงอยู่ที่จวนอ๋องจินเหมือนเดิม รอถึงสิ้นเดือนหลังจากที่หลงเย่ทำการผ่าตัดสมองเสร็จแล้ว เสิ่นชิ่นจะพาเขากลับไปดูแลด้วยตัวเอง

อวิ๋นหลิงกลับมาให้ความสำคัญกับทางด้านสำนักศึกษาชิงอี้อีกครั้ง

การเขียนอักษรจีนของไป๋ชวนนั้นใช้ไม่ได้เลย อ่านไม่ออกราวกับภาษาดาวอังคาร

บวกกับคำศัพท์ทางการแพทย์ต่างๆที่ยากจะอธิบาย คนปกติยากจะเข้าใจได้ ดังนั้นกงจื่อโยวจึงส่งหลิงซูไปอยู่เป็นเพื่อนเขาเป็นการเฉพาะ

ไป๋ชวนรับผิดชอบการแปล หลิงซูรับผิดชอบการในการพิสูจน์อักษรและแก้ไข ไม่กี่วันผ่านความเร็วในการทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงปลายเดือนสิบแล้ว ทางด้านสำนักศึกษาชิงอี้ได้ส่งข่าวมาอีกครั้ง

เซียวปี้เฉิงเอ่ยว่า “หลิงเอ๋อร์ พ่อแม่ของลู่ฉีมาถึงเมืองหลวงแล้ว คนที่ตามมาด้วยยังมีท่านแม่ของกู้ฮั่นม่อ เมื่อวานเพิ่งจะรับตัวไปยังสำนักศึกษา”

อวิ๋นหลิงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ได้มอบหมายงานการคัดเลือกสภานักเรียนให้กับกู้ฮั่นม่อ ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันจะไปที่สำนักศึกษาเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย รวดจัดการเรื่องที่อยู่ของพ่อแม่ลู่ฉีไปพร้อมกันเลย”

ท่านพ่อลู่และท่านแม่ลู่ดำรงชีพด้วยการขายขนมแป้งทอด รสชาติอร่อยปริมาณมากและราคาถูก ฝีมือการทำถือว่าเลื่องชื่อในเมืองเล็กๆ

ก่อนหน้านี้นางเคยรับปากลู่ฉี จะเก็บตำแหน่งร้านค้าดีๆเอาไว้ให้ทั้งสองคน

ส่วนท่านแม่ของกู้ฮั่นม่อนั้น อวิ๋นหลิงไม่รู้อะไรมากนัก คนคุ้มกันได้เอ่ยขึ้นในด้านล่างของจดหมายเพียงไม่กี่ประโยค

ชื่อของอีกฝ่ายคือหลีหว่านเจิง เป็นคนหลินอันแห่งเมืองหยุนโจว เป็นคนบ้านเดียวกันกับพ่อแม่ของลู่ฉี

ได้ยินว่าเป็นหญิงที่มีหน้าตางดงาม ปกติจะดำรงชีพด้วยการขายเต้าหู้ จึงมีการเรียกขานว่าเป็น “หญิงงามขายเต้าหู้”

ชาวบ้านต่างก็เรียกขานนางว่าแม่นางหลี มีนิสัยใจคอดีมาก เพียบพร้อมงดงามทั้งยังขยันขันแข็ง

อาศัยเวลาในวันหยุด สองสามีภรรยาตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งตัว เตรียมออกเดินทางไปยังสำนักศึกษาชิงอี้

กลับพบจักรพรรดิจาวเหรินเดินเข้ามาในตำหนัก แต่งตัวด้วยชุดผ้าฝ้ายสีเขียวแสนธรรมดา ฝูกงกงที่อยู่ทางด้านหลังก็สวมชุดสีน้ำตาล เหมือนพ่อบ้านในตระกูลผู้ดีไม่มีผิด

เซียวปี้เฉิงเอ่ยขึ้นมาอย่างตกตะลึงว่า “เสด็จพ่อ นี่ทรง......”

วันนี้เป็นวันหยุดของราชสำนัก แต่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ของสำนักศึกษา ดังนั้นกู้ฮั่นม่อจึงยังเรียนหนังสืออยู่

ตอนที่สองสามีภรรยามาถึงลานหอพัก เห็นหญิงรูปร่างอรชรคนหนึ่ง กำลังกวาดพื้นอย่างคล่องแคล่ว

ทั่วทั้งลานบ้านสะอาดสะอ้าน บนถนนกระเบื้องหินไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว แม้แต่พุ่มไม้สีเขียวก็ถูกตัดแต่งและรดน้ำเรียบร้อยแล้ว

ผู้ดูแลเจิ้งเอ่ยทักทายว่า “แม่นางหลี องค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทมาแล้ว”

ได้ยินประโยคนี้ แม่นางหลีก็หันกลับมา รีบวางไม้กวาดลงแล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่

“หม่อมฉันหลีหว่านเจิง คำนับองค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาท ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญ”

เมื่อนางเห็นพวกเขาก็จะคุกเข่าคำนับทันที อวิ๋นหลิงยิ้มและรีบห้ามนางเอาไว้ “เราสองคนทำตัวสบายๆเวลาอยู่ในสำนักศึกษา แม่นางหลีไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”

ตั้งแต่อวิ๋นหลิงเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาชิงอี้ ก็ไม่เคยให้เหล่านักเรียนปฏิบัติต่อนางเช่นนี้

แม้ว่าจะเรียกนางว่าพระชายารัชทายาท แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับ

แม่นางหลีจึงเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับอวิ๋นหลิง หน้าตามีความละม้ายคล้ายกู้ฮั่นม่ออยู่ห้าส่วน

“พระชายารัชทายาทเข้ากับคนได้ง่าย เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่มากพิธีแล้ว”

หลังจากที่อวิ๋นหลิงมองหน้าตาของนางอย่างชัดเจนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึ้ง แอบอุทานอยู่ในใจ

เป็นสาวงามขายเต้าหู้ที่สะสวยมาก

มีความอ่อนโยนสง่างามจริงๆ อายุที่ย่ำเข้าเลขสี่ ดูแล้วกลับเหมือนมีอายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะว่าทำเต้าหู้ และกินเต้าหู้อยู่เสมอ ผิวพรรณดีจนไม่อยากจะเชื่อ

โดยเฉพาะมือคู่นั้น จะบอกว่าเป็นมือของสาวน้อยอายุสิบแปดนางก็ไม่สงสัย

หญิงสาวในวัยเดียวกัน ก็มีเพียงจี้ซูเฟยที่ตายไปแล้วสามารถเทียบเคียงได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ