พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 678

หลังจากที่พระสนมหลี่ดื่มยาที่ต้มมาใหม่ หลับตาลงพักผ่อนชั่วครู่

ไม่นานนัก พระสนมคนอื่นๆในวังหลังก็ทยอยมาเยี่ยมเยียน

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางก็เป็นพระสนมที่มีตำแหน่งสูงที่สุด คนอื่นๆล้วนต้องมาน้อมทักทายนางตามหลักและเหตุผล

เหลียงเฟยนำหนังสือมามอบให้สองสามเล่ม เอ่ยด้วยเสียงอ่อนแอว่า “ท่านพี่ ช่วงนี้หม่อมฉันอ่านหนังสืออ่านเล่นไม่น้อย หนังสือพวกนี้น่าสนใจมากทีเดียว ช่วงเวลาพักรักษาตัวน่าเบื่อเหลือทน ท่านก็ลองอ่านดู ยังสามารถช่วยฆ่าเวลาได้อีกด้วย”

พระสนมหลี่เหลือบตาขึ้นมามองนาง เหลียงเฟยรีบก้มศีรษะลงอย่างตื่นเต้น เผลอบีบเสื้อจนแน่น

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน นางต้องหัวเราะเยาะต่อความอ่อนแอของเหลียงเฟยอยู่ในใจอย่างแน่นอน

ทั้งๆที่ปีนขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่พระสนมที่มีตำแหน่งสูงที่สุดแล้ว หลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงทำตัวเหมือนลูกแกะขี้ขลาดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง

ก็จริง เพราะตั้งแต่อีกฝ่ายเข้าวังมาก็ถูกนางคุกคามรังแกอยู่ไม่น้อย

“ลำบากเจ้าแล้ว วางไว้ตรงนั้นเถอะ”

เหลียงเฟยคลายใจไปเปลาะหนึ่ง หลังจากวางหนังสือลงแล้ว ก็นั่งลงข้างๆโดยไม่พูดไม่จา มองพระสนมหลี่ด้วยสายตาสับสน

แม้จะเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางก็รู้สึกทอดถอนใจ และเห็นใจอยู่บ้าง

สนมลี่ผินเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าปกติ นางนำหมอนหญ้าอ้ายที่เย็บด้วยตนเองมา

“หม่อมฉันเย็บหมอนหญ้าอ้าย ใช้หนุนเวลานอนจะทำให้จิตใจสงบหลับสบาย ยังมีฤทธิ์ในการขับความเย็นระงับปวด ฝีเย็บอาจจะไม่ค่อยเรียบร้อยอยู่บ้าง พระสนมอย่าได้รังเกียจ”

พระสนมหลี่ยิ้มจางๆ “ถ่อมตัวเกินไปแล้ว มีใครไม่รู้บ้างว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของสนมลี่ผินนั้นยอดเยี่ยมที่สุดในวังหลัง”

พระสนมคนอื่นๆที่ปกติก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ ต่างก็นำของขวัญมาเยี่ยมไข้

“นี่เป็นใบชาที่ทางเจียงหนานบรรณาการมาให้เมื่อไม่นานมานี้ ดับกระหายคลายร้อนได้ดีมาก หม่อมฉันมีแค่ครึ่งขวด ท่านโปรดอย่ารังเกียจ”

“หม่อมฉันว่างไม่มีอะไรทำจึงปลูกฟักทองในตำหนัก ช่วงนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ฟักทองสองลูกนี้ทั้งใหญ่ทั้งฉ่ำมาก ทำเป็นขนมหรือนึ่งกินก็ไม่เลวเลย”

“ในถาดนี้เป็นพุทราฤดูหนาว ตอนที่หม่อมฉันเข้าวังได้ปลูกเอาไว้ที่ตำหนักด้านข้าง ตอนนี้ก็อายุสิบแปดปีแล้ว ให้ผลทั้งกรอบและหวานมากทีเดียว”

“หม่อมฉัน......”

ภายใต้เสียงพูดเจื้อยแจ้ว พระสนมหลี่เหลือบตาขึ้นไปมอง คนที่มอบพุทราฤดูหนาวเป็นหญิงใบหน้างดงามคนหนึ่ง

ตอนที่อีกฝ่ายเข้าวังก็มีตำแหน่งเป็นเหม่ยเหริน ผ่านไปสิบแปดปีแล้วก็ยังคงเป็นเหม่ยเหริน อาศัยอยู่ในตำหนักด้านข้างซึ่งอยู่ในซอกมุมไม่เคยได้ย้ายไปไหน

เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจจิตใจของคนเหล่านี้ ทำไมจึงทนใช้ชีวิตที่เงียบเหงาเช่นนี้ได้ ตอนนี้กลับรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว

พระสนมหลี่เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบใจพวกเจ้ามาก”

ครั้งนี้ที่เหล่าพระสนมมาน้อมทักทาย นางไม่ได้ทำให้ผู้ใดต้องลำบากใจ สีหน้าของเหล่าพระสนมต่างก็เป็นธรรมชาติขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

พูดคุยกันได้สักพัก หลังจากที่เหล่าสนมต่างก็ออกไปแล้ว ตำหนักเว่ยยางก็เงียบสงบลง เหลือแค่อวิ๋นหลิงที่คอยช่วยกำกับดูแลเรื่องอาหารและยาเท่านั้น

พระสนมหลี่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ “เจ้าว่าพวกนางแต่ละคน ทำไมจึงมีชีวิตที่ผ่อนคลายนัก ทั้งๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เทียบกับข้าไม่ได้เลย ไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ และไม่ได้มีอาหารเลิศรสให้ลิ้มลองอย่างไม่หมดไม่สิ้น เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วแม้แต่ผักยังต้องปลูกกินเอง”

“บางคน กระทั่งลูกสักคนก็ไม่มี......”

ที่นางมีล้วนมากกว่าพวกนางทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีความสุขความสบายใจเท่าพวกนาง

อวิ๋นหลิงเอ่ยอย่างไม่ต้องคิดว่า “เพราะพวกนางล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง”

พระสนมหลี่อึ้ง นิ่งเงียบไปนาน

“เจ้าจะบอกว่า ข้าไม่เคยใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเองมาก่อนอย่างนั้นหรือ”

อวิ๋นหลิงครุ่นคิด นำคำพูดของนักจิตวิทยาที่หลงเย่เคยพูดให้นางฟัง ใช้วิธีการพูดที่ไม่ใช่มืออาชีพขนาดนั้น ค่อยๆพูดออกไปให้นางฟัง

“ในมุมมองของลูกเป็นเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องเชื่อฟังสิ่งที่ท่านพูด ท่านก็จะรู้สึกดีใจ เสด็จพ่อไม่รับปากสิ่งที่ท่านร้องขอ ท่านก็เสียใจ ความรู้สึกดีใจโกรธเศร้าเสียใจ ล้วนหมุนวนเวียนอยู่รอบตัวคนอื่น แต่พวกเสด็จแม่ไม่มีทางเป็นเช่นนี้”

“แต่ตอนนี้ข้าอายุสี่สิบแล้ว ฝึกดาบอาจจะสายเกินไป พูดออกไปก็จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเสียเปล่า”

น้ำเสียงของพระสนมหลี่มีแววเสียใจอยู่หลายส่วน นางกับเสี่ยวเฟิงเป็นศัตรูเก่า กลับรู้สึกชื่นชมต้าเฟิงซึ่งเป็นพี่สาวของอีกฝ่ายมาก

ถ้าหากนางมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างต้าเฟิง ไม่แน่ตอนนี้อาจจะท่องไปไกลสุดใต้หล้าแล้ว

อวิ๋นหลิงพูดว่า “ทุกครั้งที่ท่านรู้สึกว่าสายไปแล้ว กลับเป็นเวลาที่เร็วที่สุด”

คำพูดให้แง่คิดนั้นทรงพลังมาก

โดยเฉพาะกับคนที่”ป่วยเรื้อรัง” ให้ผลดีกว่ายาวิเศษเสียอีก

ในดวงตาของพระสนมหลี่มีประกายอ่อนๆผุดขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจะลองดู เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีแม่นมเหอเยว่คอยดูแลก็พอแล้ว”

นางเองก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะมีวันที่สามารถคุยกับอวิ๋นหลิงด้วยจิตใจที่สงบเช่นนี้ได้

หลังจากอวิ๋นหลิงจากไปแล้ว พระสนมหลี่ก็เรียกตัวแม่นมเหอเยว่เข้ามา

“แม่นม ไปหาต้นกล้าของซานเหม่ยกับเสาเย่ามา ให้คนถอนต้นดอกซ่อนกลิ่นที่อยู่หน้าตำหนักออกไปให้หมด ให้เหลือที่ว่างเอาไว้”

แม่นมเหอเยว่ประหลาดใจ “ท่านจะถอนดอกซ่อนกลิ่นออกไป แล้วปลูกต้นซานเหม่ยกับเสาเย่าหรือ”

ดอกซ่อนกลิ่นเหล่านั้นเป็นของรักของหวงของพระสนมหลี่ เพราะจักรพรรดิจาวเหรินชื่นชอบดอกชนิดนี้มาก ด้วยเหตุนี้นางจึงสั่งให้คนปลูกไว้ที่หน้าตำหนัก ดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดีทุกวัน

ทุกครั้งที่ถึงฤดูดอกไม้เบ่งบาน หน้าตำหนักจะขาวโพลนและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ยิ่งใหญ่งดงามจนหยุดชมไม่ได้

พระสนมหลี่พยักหน้า “ข้าชอบกินซานเหม่ย และชอบต้นเสาเย่า”

“แต่ว่าพระสนม......ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลในการปลูกต้นเสาเย่า”

“ไม่เป็นไร ข้าอยากปลูก”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ