พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 711

คนไม่น้อยต่างก็แอบซ่อนความคิดเอาไว้ อยากจะฉวยโอกาสในการคัดเลือกสาวงาม ส่งหญิงสาวในตระกูลเข้าไปในวัง

พวกเขาไม่ได้มีความหวังในตัวจักรพรรดิจาวเหริน จุดสำคัญคือเหล่าองค์ชายทั้งหลาย โดยเฉพาะรัชทายาท

ก่อนหน้านี้ตอนที่เสนาบดีขวาหลี่ริเริ่มเรื่องการคัดเลือกสาวงาม เซียวปี้เฉิงกับอวิ๋นหลิงไม่ได้คัดค้าน ขุนนางในราชสำนักยังคิดว่าสองสามีภรรยาคู่นี้นอกรีตนอกรอย ในใจยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่บ้าง

ใครจะไปคิดว่าจะมีลูกไม้นี้รอพวกเขาอยู่

มีขุนนางราชสำนักคนหนึ่งไม่พอใจ เอ่ยปากเสนอแนะว่า “คัดเลือกสาวงามเป็นองค์หญิงแต่งงานเพื่อสันติภาพใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสียทั้งหมด แต่ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง เดิมทีสาวงามเป็นตัวเลือกของราชวงศ์ในการหาพระสนม จะให้คนป่าเถื่อนอย่างชาวทูเจวียเลือกคนก่อนได้อย่างไร ควรให้ฝ่าบาทได้ผ่านตาก่อนจึงจะเหมาะสม”

ความหมายของเขาคือให้ราชวงศ์ของแคว้นต้าโจวได้เลือกก่อน หลังจากสิ้นสุดการคัดเลือกสาวงามแล้ว ค่อยตัดสินใจเลือกองค์หญิงแต่งงานเพื่อสันติภาพจากสาวงามที่เหลือ

ทำเช่นนี้ เหล่าสาวงามเพื่อไม่ให้ถูกส่งไปแต่งงานเพื่อสันติภาพ ล้วนต้องแสดงความสามารถอย่างสุดกำลัง สุดท้ายย่อมต้องมีคนได้อยู่ต่อ

แต่ถ้าหากต้องถูกคัดเลือกไปเป็นองค์หญิงแต่งงานเพื่อสันติภาพก่อน เกรงว่าสถานการณ์จะตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

ถึงเวลาต้องมีสาวงามมากกว่าเก้าในสิบส่วนถอดใจถอยกลางคัน จงใจละเมิดกฎในวังเพื่อให้ถูกไล่ออกไป ไม่แน่อาจไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

เซียวปี้เฉิงเดาไว้แต่แรกแล้วว่าจะมีคนพูดเช่นนี้ แอบเยาะเย้ยในใจ เอ่ยปากอย่างไม่รีบร้อนว่า

“อ๋องทูเจวียตะวันออกจะมาถึงเมืองหลวงช่วงต้นเดือนสอง จะอยู่ที่นี่แค่หนึ่งเดือนพวกเขาเดินทางแต่ละครั้งเส้นทางยาวไกลมาก ถ้าไม่รีบกลับไป เกรงว่าสถานการณ์ของทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนไป”

“แต่การคัดเลือกสาวงามซ้ำจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในต้นเดือนสาม หลังจากถูกรับคัดเลือกแล้วก็ต้องจดชื่อเพื่อตรวจสอบสามเดือน ที่สุดจึงจะตัดสินว่าใครถูกเลือก เจ้าจะให้อ๋องทูเจวียตะวันออกอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่ปลายฤดูหนาวไปจนถึงกลางฤดูร้อนหรืออย่างไร”

“รอให้กลับไปเวลานั้น กระโจมที่เขาสร้างบนทุ่งหญ้าคงถูกชาวทูเจวียตะวันตกรื้อหมดแล้ว”

ขุนนางคนนั้นถูกเซียวปี้เฉิงตอบโต้ด้วยท่าทีเคร่งขรึมสง่างาม จนต้องหดลำคอลง แต่ยังคงรวบรวมความกล้าเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า

“......เช่น เช่นนั้นก็ลดขั้นตอนการคัดเลือกสาวงามลง ก็เป็นวิธีการที่ไม่เลว สามารถคัดเลือกซ้ำได้ในเดือนสอง แล้วเปลี่ยนระยะเวลาตรวจสอบเป็นหนึ่งเดือน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้ฝ่าบาทกินของเหลือต่อจากคนป่าเถื่อนอย่างชาวทูเจวียนี่นา”

หากเรื่องนี้มีอวิ๋นหลิงเอ่ยปากตอบโต้ จะถูกคนอื่นพยายามหาข้อติเตียนกัดไม่ปล่อยได้ ดังนั้นเซียวปี้เฉิงจึงนำหน้า พลังต่อสู้ถึงขีดสุด

ใบหน้าเขาบึ้งตึง ดวงตาที่คมกริบจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง

“ไร้สาระ งี่เง่า น่าขัน”

เสียงตำหนิทำให้อีกฝ่ายตกใจจนตัวสั่น แม้แต่จักรพรรดิจาวเหรินที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนบัลลังก์มังกรยังได้สติกลับมาและเพ่งมองไป

ทุกคนต่างก็มองไปทางเซียวปี้เฉิง ถูกท่าทีเย็นยะเยือกของเขาในตอนนี้ทำเอาไม่กล้าหายใจแรง

เห็นรัชทายาทในมุมที่คล้อยตามมามาก คนไม่น้อยต่างก็ลืมไปแล้ว เขาเคยเป็นบุคคลที่มีอำนาจทำให้สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงได้

เซียวปี้เฉิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “เรื่องการคัดเลือกสาวงามเป็นเรื่องใหญ่ตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่เตรียมการจนสิ้นสุดทุกรุ่นล้วนต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ผ่านการคัดกรองจากกรมพิธีการและกรมคลัง ควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อที่จะคัดเลือกหญิงสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ฉลาดหลักแหลม เพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงาม”

ตอนที่เขาพูดถึงตรงนี้ คนไม่น้อยต่างก็เหลือบสายตาแอบมองไปยังอวิ๋นหลิงที่ดูสถานการณ์อยู่ข้างๆด้วยท่าทีเกียจคร้าน

พระชายารัชทายาทมีความสามารถมาก แต่ก็ไม่สอดคล้องกับคำพูดเหล่านี้เลย

ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

อวิ๋นหลิงแอบยิ้มในใจ ดูสามีตนเองเล่นละครอย่างสุดความสามารถต่อไป

“อ๋องทูเจวียตะวันออกคิดว่าเขาเป็นใคร ถึงให้พวกเราราชวงศ์แห่งแคว้นต้าโจวเลือกองค์หญิงแต่งงานเพื่อสันติภาพให้เขา และจัดการคัดเลือกสาวงามอย่างเร่งรีบรวบรัดเช่นนี้”

“แม้ว่าการคัดเลือกรุ่นที่แล้วจะห่างจากครั้งนี้นานมาก สาวงามที่ถูกคัดเลือกล้วนเป็นคนที่ต้องให้กำเนิดทายาทให้กับราชวงศ์ ตามหลักแล้วยิ่งต้องคัดเลือกอย่างเข้มงวด เจ้ากลับบอกว่าจะร่นระยะเวลาลง ในใจคิดอะไรอยู่กันแน่”

ข้อหาหลายกระทงถูกหยิบยกขึ้นมา ขุนนางคนนั้นถูกเซียวปี้เฉิงตำหนิจนเป็นใบ้พูดไม่ออก สีหน้าซีดเผือดลงทันที คุกเข่าลงกับพื้นยอมรับผิดต่อจักรพรรดิจาวเหริน

“ฝ่าบาททรงปรีชา กระหม่อมคิดเผื่อศักดิ์ศรีของจักรพรรดิจึงได้เอ่ยเสนอเช่นนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เรื่องที่วางแผนมาเกือบครึ่งปี เห็นแสงสว่างอยู่รำไรแล้ว กลับถูกคำพูดไม่กี่คำทำให้เปลี่ยนโฉมไปหมด ไม่ว่าใครก็สะกดกลั้นความโกรธในใจไว้ไม่อยู่

“องค์รัชทายาทช่างพูดจริงๆ บอกว่าจะคัดเลือกหญิงสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ฉลาดหลักแหลม เพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันดีงามอะไรนั่นอีก ตามมาตรฐานนี้ พระชายารัชทายาทเป็นคนแรกที่ต้องถูกคัดให้ตกไป......”

ไม่อาจจะพูดได้ว่าอวิ๋นหลิงไม่เกี่ยวข้องกับคำเหล่านี้เลย ได้แต่พูดว่าห่างไกลจากความเป็นจริงมาก

ถึงแม้จะเกี่ยวข้อง ก็เป็นความเกี่ยวข้องที่ตรงข้ามกัน

“องค์รัชทายาทเป็นถึงองค์ชาย กลับตกเป็นลูกไก่ในกำมือของพระชายารัชทายาท ไม่เชื่อฟังสามี ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะนินทาหรืออย่างไร”

“ก็เป็นเพราะพระชายารัชทายาทแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังชอบอิจฉาผู้อื่น ครั้งที่แล้วข้าขอให้องค์รัชทายาทอยู่ต่อที่หอบุปผานานอีกหน่อยเขายังไม่กล้า บอกว่าพระชายารัชทายาทสั่งให้เขากลับตำหนักก่อนยามไห้ มิเช่นนั้นก็ต้องนอนข้างนอก”

สองสามีภรรยามีสัมผัสในการฟังไม่ธรรมดา ได้ยินคำพูดนี้มาแต่ไกล

ขุนนางวัยกลางคนสองคนเดินช้าๆอยู่บนพื้นหิมะ อวิ๋นหลิงฝีเท้าเบาแต่รวดเร็ว ไม่ช้าก็เข้าใกล้พวกเขาแล้ว

“ถ้าหากใต้เท้าทั้งสองคิดว่าข้ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือคิดว่าเสด็จพ่อทรงตาพร่ามัว มองไม่ออก เพราะการแต่งงานนี้พระองค์ทรงประทานให้ด้วยตนเอง”

ขุนนางใหญ่ทั้งสองหันขวับกลับไป สีหน้าแข็งค้างทันที

พิเรนทร์จริงเชียว เมื่อครู่พวกเขาอยู่ห่างจากสองสามีภรรยารัชทายาทอย่างน้อยก็สิบเมตรแปดเมตร ทั้งยังพูดซุบซิบกัน ทำไมหูของสองผัวเมียนี้จึงได้ไวนัก

ทั้งสองรีบยิ้มอย่างใจฝ่อปนประหม่า

“พระชายารัชทายาทล้อเล่นแล้ว ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องมาก ตอนแรกที่ท่านยังไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง พระองค์ก็กำหนดแล้วว่าให้ท่านเป็นพระชายาจิ้งอ๋อง สายตาช่างหลักแหลมจริงๆ”

“ใช่แล้ว ท่านจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งได้อย่างไรเล่า แค่เรื่องที่ท่านเคยทำ ความดีทุกอย่างที่เคยสร้าง ก็เพียงพอที่จะบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นหลังได้สรรเสริญแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ