พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 9

อาจารย์ของเซียวปี้เฉิงเป็นลูกบุญธรรมของอู๋อันกง ดังนั้นเขาจึงรู้วิธีการทำโสมหิมะน้ำค้างหยกเช่นกัน

เขาใช้เงินไปมาก เสียเวลาสองปีกว่าในการรวบรวมตัวยาจนครบ และได้ไหว้วานให้หลินซินทำยาโสมหิมะน้ำค้างหยกขึ้นมาหนึ่งขวด คิดว่าจะมอบให้ฉู่อวิ๋นหานเป็นของขวัญวันเกิด

“ให้เจ้าเอาไปให้ก็ไปซิ ไม่ต้องพูดมาก”

เดิมทีนางก็อัปลักษณ์มากพออยู่แล้ว ถ้าบนร่างกายยังมีรอยแผลเต็มไปหมด เช่นนั้นก็ไม่มีจุดไหนน่าดูเลย เซียวปี้เฉิงคิดอย่างรังเกียจ

ยิ่งไปกว่านั้นนางยังช่วยเยี่ยนอ๋องแก้ไขปัญหาเรื่องพิษเย็น

“แล้วคุณหนูรองฉู่......”

สีหน้าของเซียวปี้เฉิงเย็นชาลงไปอีกสองส่วน พูดเสียงเรียบว่า “นางไม่จำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้”

เฉียวเย่ส่งสัญญาณให้ลู่ฉี “มีท่านอ๋องคอยปกป้องอยู่ คุณหนูรองฉู่ไม่มีทางไดรับบาดเจ็บอะไร ตามข้าไปเอายาเถอะ”

ลู่ฉีได้แต่เดินตามเฉียวเย่ไปเอายา สีหน้าไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“ใต้เท้าเฉียว ท่านว่าท่านอ๋องถูกทารุณกรรมหรือไม่”

เฉียวเย่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “คุมปากของท่านให้ดี อย่าพูดจาเหลวไหล”

“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล พระชายาทั้งตีทั้งด่าท่านอ๋อง เมื่อครู่ยังทำท่าทีกราดเกรี้ยวในเรือนเยี่ยนหุย เกือบจะล้มโต๊ะวางของอยู่แล้ว ท่านอ๋องกลับไม่ตำหนินางแม้แต่น้อย”

เฉียวเย่ยัดกล่องที่บรรจุโสมหิมะน้ำค้างหยกให้กับลู่ฉี “พระชายาทรงช่วยเยี่ยนอ๋องขับไล่พิษเย็น เป็นความดีความชอบ ท่านอ๋องย่อมไม่ถือสานาง”

“แล้วคุณหนูรองฉู่เล่า” ลู่ฉีไม่เข้าใจจริงๆ “พระชายาใส่ร้ายว่าเรื่องในคืนงานเลี้ยงเป็นฝีมือของคุณหนูรองฉู่ ท่านอ๋องแต่ไหนแต่ไรก็เข้าข้างนาง แต่ครั้งนี้กลับนิ่งเฉย”

แล้วยังมอบยาที่แสนล้ำค่าอย่างโสมหิมะน้ำค้างหยกให้กับพระชายาอีก ทั้งๆที่สองวันก่อน ท่านอ๋องยังแทบจะฆ่านางอยู่เลย

เฉียวเย่นิ่งเงียบไป ที่จริงจุดนี้เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

……

ตอนที่ลู่ฉีส่งโสมหิมะน้ำค้างหยกไปถึงเรืยนหลันชิง ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารมาตั้งแต่ไกลแล้ว

ทางห้องครัวคำนึงถึงบาดแผลบนร่างของอวิ๋นหลิง กับข้าวที่ทำจึงค่อนข้างจืด ตอนที่ลู่ฉีมาถึง อวิ๋นหลิงกำลังกินอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย

เขากลืนน้ำลายลงคอ เงยหน้ามองไปบนคานบ้าน บังคับให้ตนเองไม่ก้มหน้าไปมองอาหารเลิศรสที่มีอยู่เต็มโต๊ะ

“เรียนพระชายา ท่านอ๋องให้กระหม่อมเอายามาส่งให้ท่าน”

ช่างหอมจริงๆ นี่มันซี่โครงตุ๋นนี่นา

“มันคือยาอะไร” อวิ๋นหลิงหยิบเอาขวดกระเบื้องเคลือบในกล่องไม้ออกมา นำขึ้นมาดมด้วยจมูกที่มีประสาทรับกลิ่นที่สามารถแยกแยะส่วนผสมได้

ลู่ฉีมองขึ้นไปข้างบน “โสมหิมะน้ำค้างหยก”

หอมจริงๆ นี่มันแกงจืดเต้าหู้ปลากะพงนี่นา

“ใช้ทาภายนอก......หรือว่ากิน” กลิ่นเหมือนยาทาภายนอก แต่เมื่อเห็นท่าทีกลืนน้ำลายของลู่ฉี อวิ๋นหลิงก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ

ลู่ฉียังคงมองไปทางด้านบนอย่างต่อเนื่อง “กิน......เอ๊ยไม่ใช่ ทาภายนอก”

หอมจริงๆ นี่มันไก่ดำอบพุทราจีนนี่นา

“มีฤทธิ์อย่างไรบ้าง”

ลู่ฉียังคงมองด้านบน “รักษาแผลภายนอก ระงับอาการปวด หลังจากที่ทาแล้วบาดแผลตกสะเก็ดก็จะไม่เกิดอาการคัน”

หอมจริงๆ เขารู้สึกหิวมาก

“ข้าจะรับเอาไว้ ช่วยข้าขอบคุณท่านอ๋องของเจ้าด้วย”

“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวลา”

ลู่ฉีหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็วมาก เกรงว่าจะควบคุมตนเองไม่อยู่จนกระโจนเข้าหาอาหารบนโต๊ะ

อวิ๋นหลิงจ้องมองตงชิงอย่างสงสัย “องครักษ์ของจวนจิ้งอ๋องต่างก็เหมือนเซียวปี้เฉิง ชอบใช้รูจมูกในการมองผู้อื่นหรือ”

แต่จุดสนใจของตงชิงกลับอยู่ที่ขวดใบเล็กๆนั่น สีหน้าดีใจ “คุณหนู นี่มันโสมหิมะน้ำค้างหยกเชียวนะเจ้าคะ ท่านอ๋องถึงกับเอายารักษาบาดแผลล้ำค่าเช่นนี้มามอบให้ท่าน”

ที่สุดแล้วก็เป็นสามีภรรยาที่ร่วมหอกันหนึ่งราตรีแต่ผูกพันรักร้อยวัน ท่านอ๋องไม่ได้เย็นชาไร้จิตใจเหมือนที่ข่าวลือเขาว่ากัน

สมองของอวิ๋นหลิงทำการค้นหาความทรงจำที่เกี่ยวกับยารักษาแผล เข้าใจแล้วว่ายานี้เป็นของหายาก ราคาสูงลิ่ว

สีหน้าของนางอ่อนลง เซียวปี้เฉิงแม้จะไม่ใช่คนที่น่าชื่นชอบ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์อะไร

เปิดจุกขวดออก ของเหลวสีเขียวอ่อนเหมือนเนื้อหยก กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งลอยออกมา อวิ๋นหลินได้กลิ่นและรู้ถึงส่วนผสมหลักในยาหลายตัวทันที

ยานี้ไม่เลวจริงๆ แต่ยังมีจุดที่สามารถปรับปรุงได้

อวิ๋นหลิงตัดสินใจถอดสูตรยาออกมา หลังจากปรับปรุงแล้วทำให้ต้นทุนต่ำลง และขายในราคาสูงหากำไรสักครั้ง

หลังจากกินข้าวเสร็จ ตงชิงก็ทายาให้นาง รู้สึกสบายขึ้นมากทีเดียว

“องค์กร”

“เออ ข้าหมายถึงสำนักของพวกข้า”

องค์กรมีความสุขที่สมควรถูกมีดแทงเป็นพันเล่ม ถูกลงโทษอย่างสาสม

นึกถึงสามสาวที่เพิ่งพาอาศัยกันมาตั้งแต่เด็ก ผ่านความเป็นความตายร่วมกันมา อวิ๋นหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่

เซียวปี้เฉิงรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงกัดฟันหลายส่วนในคำพูด “อาจารย์เจ้ายังมีศิษย์คนอื่นอีกหรือ คนอื่นต่างก็มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมเหมือนเจ้าหรือไม่”

เขารออยู่นาน แต่อวิ๋นหลิงกลับไม่พูด บรรยากาศในรถม้าเหมือนจะอึมครึมอยู่บ้าง

เซียวปี้เฉิงรับรู้ได้ว่า นางอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ในเมื่อไม่ยินดีจะพูด เขาก็ไม่ถามอีก

เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่อวิ๋นหลิงก็ไม่ค่อยจะดีนัก

รถม้าค่อยๆจอดลงตรงหน้าจวนเหวินกั๋วกง อวิ๋นหลิงประคองเซียวปี้เฉิงลงจากรถม้า และพบเข้ากับฉู่อวิ๋นหานที่หน้าประตูอย่างบังเอิญ

ข้างกายของฉู่อวิ๋นหานมีชายหนุ่มชุดเขียวยืนอยู่คนหนึ่ง นั่นคือพี่ชายแท้ๆของนางฉู่อวิ๋นเจ๋อ ทั้งสองกำลังออกมาส่งชายที่สวมชุดหรูหราดูดีคนหนึ่ง สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก

เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำในสมอง อวิ๋นหลิงก็รู้ว่าชายที่สวมชุดหรูหราคนนั้นคือเฟิงเหยียนลูกชายคนโตของเสนาบดีซ้ายเฟิง หลานชายของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน

ตระกูลของคนคนนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้า แต่ไหนแต่ไรก็ทำตัวยโสโอหัง ได้รับฉายาเป็นคุณชายที่ชั่วร้ายที่สุดในเมืองหลวง ไม่มีใครกล้าแหย่

ที่สำคัญไปกว่านั้น ผู้ชายคนนี้ก็ชื่นชอบฉู่อวิ๋นหาน เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเซียวปี้เฉิง

“นี่มันจิ้งอ๋องเทพสงครามแห่งแคว้นต้าโจวมิใช่หรือ ไม่เจอกันหลายวัน เป็นอย่างไรบ้าง”

เฟิงเหยียนหันมาพบเข้ากับเซียวปี้เฉิงและอวิ๋นหลิง ชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นและแววเย้ยหยัน

“ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันท่านอ๋องเพิ่งจะแต่งงาน แต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ฉู่อวิ๋นหลิงที่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์ที่สุดในเมืองหลวงจะไปคู่ควรกับเทพสงครามแห่งแคว้นต้าโจวได้อย่างไร ฮ่องเต้ทรงประทานงานแต่งงานด้วยเหตุผลใด ช่วยแถลงไขให้ข้าเข้าใจหน่อยได้หรือไม่”

เฟิงเหยียนถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ ส่งสายตาให้กับผู้ติดตามที่อยู่ทางด้านหลัง อยากจะให้ร่วมกันทำให้เซียวปี้เฉิงอับอายกลางถนน

อวิ๋นหลิงกำลังอารมณ์ไม่ดี พอดีกับที่เขาเข้ามาหาเรื่อง จึงด่ากราดออกมาทันที

“ปากเหม็นขนาดนี้ เจ้าเติบโตด้วยการกินขี้มาตั้งแต่เด็กกระมัง”

เมื่อพูดออกไป ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับเฟิงเหยียนมาก่อน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ