พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 10

“บังอาจ กล้าไร้มารยาทกับคุณชาย”

สีหน้าของเฟิงเหยียนเปลี่ยนไป เมื่อก่อนฉู่อวิ๋นหลิงได้แต่หลบหลีกเขา ตอนนี้ถึงกับกล้าต่อปากต่อคำแล้ว

เสียดายที่ฉู่อวิ๋นหานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เฟิงเหยียนก็อยากจะรักษาภาพลักษณ์ที่ไม่มีอยู่แล้วเอาไว้บ้าง จึงห้ามผู้ติดตามเอาไว้

เพียงแต่สายตาที่มองอวิ๋นหลิงยังคงมีแววไม่พอใจและรังเกียจ “ไม่จำเป็นต้องถือสาผู้หญิงที่หยาบคายเช่นนี้ หน้าตาอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้แล้ว ก็คงจะมีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่กล้าลงมือกับนาง”

“คุณชายเฟิง ระวังคำพูดด้วย”

สีหน้าของฉู่อวิ๋นเจ๋อดูไม่ดีเลย ถึงเขาจะไม่ชอบน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน แต่นางก็เป็นคนของจวนเหวินกั๋วกง

“ข้าพูดผิดตรงไหน แม้แต่นางโลมปลายแถวในหอหม่านเซียง ที่มีรูปร่างหน้าตาดีกว่าฉู่อวิ๋นหลิงเป็นพันเท่า ถูกส่งมาให้ข้าถึงที่ข้ายังรู้สึกขยะแขยงเลย”

สุนัขรับใช้ข้างกายเฟิงเหยียนที่ปกติก็ทำตัวอวดดีจนเคยตัว หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“ใช่แล้วแม้แต่นางโลมยังเทียบไม่ได้ ยังต้องอาศัยการวางยาผู้ชายจึงจะยินดีแตะต้อง”

นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในคืนงานเลี้ยงหยวนเซียว ใบหน้าของฉู่อวิ๋นเจ๋อแดงก่ำขึ้นมา โกรธจนตัวสั่น

แม้จะเป็นเวลาเช้า แต่บนถนนก็มีคนสัญจรไปมาประปรายแล้ว ต่างก็มองมาด้วยสายตาใคร่รู้

อวิ๋นหลิงกลับไม่รู้สึกโกรธ เพียงแต่มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อได้ค่อยๆรวบรวมพลังจิต

พลังของนางยังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่หมด แม้จะไม่สามารถโจมตีให้ตายในครั้งเดียวได้ แต่การจะทำลายประสาทศูนย์กลางของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ปัญหา

ยังไม่ทันที่อวิ๋นหลิงจะได้ลงมือ ข้างกายก็มีเงาไหววูบด้วยความเร็ว สีหน้าของผู้ชายคนเมื่อครู่ที่ยังหัวเราะอย่างอวดดีอยู่จู่ๆก็ชะงักค้าง แล้วค่อยๆล้มลงไปกับพื้น

ลำคอของชายหนุ่มมีเลือดไหลทะลักออกมา เมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่าถูกแหวนหยกขาวแทงทะลุจนเป็นรู

นั่นคือแหวนหยกของเซียวปี้เฉิง

เฟิงเหยียนอยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่ทันตั้งตัวจึงถูกเลือดสาดกระเด็นไปครึ่งใบหน้า ถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยสีหน้าซีดขาว สองขาอ่อนแรง

ไม่เพียงแต่เฟิงเหยียน รวมไปถึงพวกฉู่อวิ๋นหาน ต่างก็ถอยหลังไปคนละก้าวโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นหลิงเห็นเช่นนั้น ก็รู้แล้วว่าเฟิงเหยียนเป็นคนขี้ขลาด ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน

“เซียว เซียวปี้เฉิง......นี่เจ้ากล้า”

เฟิงเหยียนจ้องมองเซียวปี้เฉิงเขม็ง ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือ

“ทำไมจะไม่กล้า เฟิงเหยียน ข้าอดทนกับเจ้ามานานแล้ว”

เซียวปี้เฉิงมองไปตามทิศทางของเสียง ดวงตาดำขลับเหมือนหุบเหวที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา

“คนใต้บังคับบัญชาเจ้าดูถูกเหยียดหยามพระชายาของข้า เดิมก็ควรจะลงโทษด้วยการตัดหัวอยู่แล้ว”

แม้เขาจะไม่ชอบฉู่อวิ๋นหลิง แต่อีกฝ่ายเป็นพระชายาของเขา ย่อมไม่สามารถให้นางถูกเหยียดหยามได้

“ส่วนเจ้า......ถ้าหากวันนี้ข้าหักมือเจ้าไปข้างหนึ่ง แม้เรื่องจะถูกส่งไปถึงหอต้าหลี่ ไปถึงพระราชตำหนัก ข้าก็ไม่กลัว”

เฟิงเหยียนสีหน้าซีดเผือด มองเซียวปี้เฉิงด้วยแววตาไหววูบ

สองปีมานี้ ตั้งแต่เซียวปี้เฉิงตาบอดทั้งสองข้างก็เริ่มเงียบขรึมลง

นานจนเขาเกือบจะลืมไปแล้ว ผู้ชายคนนี้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งซีโจว เคยเป็นคนที่แค่เห็นก็ทำให้หวาดกลัวได้ขนาดไหน

ฉู่อวิ๋นหานที่อยู่ห่างออกไปมองดูเซียวปี้เฉิงด้วยความเงียบ มือที่ข้างลำตัวค่อยๆกำแน่นขึ้น

แม้จะรู้ว่าเฟิงเหยียนเป็นผู้ท้าทายก่อน แต่เมื่อเห็นเขาออกหน้าแทนฉู่อวิ๋นหลิง ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ

จู่ๆอวิ๋นหลิงก็รู้สึกว่า แม้ว่าเซียวปี้เฉิงมักจะชอบทำหน้าบึ้งตึง มีชีวิตเหมือนคนทั้งโลกต่างก็ติดค้างเขามากมายอย่างไรอย่างนั้น แต่บางครั้งก็ดูเจริญตามาก

นางมองดูเฟิงเหยียนที่มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เลิกคิ้วแล้วยิ้มบางๆ “ดูคนขี้ขลาดอย่างเจ้า ยังอยากจะให้ข้าไปส่งถึงที่ เจ้าคู่ควรด้วยหรือ”

เฟิงเหยียนกัดฟัน เอ่ยเสียงเคียดแค้นใจว่า “เจ้าอย่าได้ใจไปเลย ก็แค่อาศัยคนตาบอดไร้ประโยชน์มาทำอวดดีเท่านั้น”

ไม่เคยมีใครคิดที่จะลุกขึ้นมาปกป้องเขา แม้แต่ฉู่อวิ๋นหานก็ตาม

อวิ๋นหลิงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเซียวปี้เฉิง ยังคงก้าวเข้าไปหาเฟิงเหยียน

“ส่วนเจ้าเฟิงเหยียน และแม้กระทั่งตระกูลเฟิงทั้งหมด ที่มักจะโอ้อวดว่าเป็นตระกูลผู้สูงศักดิ์ เป็นผู้สืบทอดความรู้และประเพณีที่ดีงาม ไม่ได้มีจิตใจซาบซึ้งชื่นชมก็แล้วไปเถอะ แต่กลับใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามวีรบุรุษของแค้วนต้าโจวอีก”

“ข้าอยากจะถามเสนาบดีซ้ายเฟิงจริงๆ เขาอบรมสั่งสอนลูกหลานของตระกูลเฟิงเช่นนี้หรือ”

คำพูดของอวิ๋นหลิงมีความปลุกปั่นยุยงมาก แม้นางจะมีใบหน้าดูน่ากลัว แต่ก็พูดมีเหตุผลทุกคำ สีหน้าจริงจัง เต็มไปด้วยพลังที่จะทำให้คนอื่นคล้อยตามได้

เฟิงเหยียนที่ปกติจะมีท่าทียโสโอหัง เดิมก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ตอนนี้ทุกคนเห็นว่าเขาพูดจาเหยียดหยามจิ้งอ๋อง แม้จะเป็นแค่ตุ๊กตาดินเผาก็มีไฟโทสะเช่นกัน

“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจิ้งอ๋องกับเหล่านักรบทั้งหลาย ปัญญาชนเหล่านี้ไหนเลยจะได้นั่งเรียนอยู่ในโรงเรียนได้อย่างสงบ”

“จิ้งอ๋องเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบห้า สร้างคุณงามความดีไว้นับไม่ถ้วน ไหนเลยที่คนมีความสามารถเพียงน้อยนิดจะเทียบเคียงได้”

“เฟิงเหยียนคนนี้ปกติแล้วชอบทำตัวอวดดีเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาจะมีความรู้ที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ได้ ตอนนี้ยังกล้ารังแกจิ้งอ๋องอีก”

“ท่านเสนาบดีซ้ายเฟิงเป็นผู้มีบารมีสูงส่ง ทำไมจึงสั่งสอนลูกหลานเช่นนี้ ตามความเห็นข้า ถูกเตะเมื่อครู่ก็สมควรแล้ว”

ปกติกคนทั่วไปต่างก็ไม่กล้าไปยุ่งกับเฟิงเหยียน แต่วันนี้มีอวิ๋นหลิงออกโรง ทุกคนต่างก็ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์ คนมากขึ้นก็มีความกล้ามากขึ้น

เฟิงเหยียนโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ อยู่เมืองหลวงมาตั้งหลายปี ไหนเลยจะเคยมีโทสะขนาดนี้มาก่อน

เขาจ้องมองอวิ๋นหลิงด้วยสายตาดุดัน แทบอยากจะสับนางออกเป็นชิ้นๆ

อวิ๋นหลิงได้ระบายอารมณ์กับเขาแล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เมื่อก่อนนางมักจะรู้สึกว่าการต้องพบเจอคนเช่นนี้ ใช้เข็มทิ่มให้ตายไปเลยก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าหากใช้เข็มแทงเฟิงเหยียนจนตายตรงหน้าประตูจวนเหวินกั๋วกงจริง การจัดการหลังจากนั้นคงจะวุ่นวายมาก

บางครั้งแค่ระบายด้วยการพูดให้อีกฝ่ายพูดไม่ออกก็มีความสุขเหมือนกัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ