พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 11

เพียงแต่พลังของเธอยังธรรมดา ถ้าเปลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ของเธอที่เป็นคนเจ้าเล่ห์และมีนิสัยแปลกประหลาดละก็ เฟิงเหยียนคงจะโกรธจนตายไปเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ

ครั้งนี้อวิ๋นหลิงจงใจพูดถ้อยคำที่รุนแรงต่อหน้าผู้คนมากมาย และยังลากคนตระกูลเฟิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แม้เฟิงเหยียนจะโกรธมากแค่ไหน ก็ต้องคิดถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล เขามองอวิ๋นหลิงด้วยสายตาอำมหิตแวบหนึ่ง พูดกับผู้ติดตามด้านหลังว่า “พวกเรากลับ”

อวิ๋นหลิงไม่คิดจะปล่อยเขาไป เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดว่า “คุณชายเฟิง เจ้ายังไม่ได้ขอโทษท่านอ๋องของพวกเราจะกลับได้อย่างไร มารยาทและน้ำใจถูกสุนัขมันกินไปหมดแล้วหรือ”

เฟิงเหยียนพยายามอดกลั้นสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ตนเองเสียกิริยา แต่รอยยิ้มท้าทายที่อวิ๋นหลิงจงใจเผยให้เห็นที่มุมปาก ทำให้สติสัมปชัญญะและความใจเย็นที่มีไม่มากอยู่แล้วหายไปในทันที

ชาตินี้เขาไม่เคยต้องก้มศีรษะให้ใครมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นี้ฉู่อวิ๋นหลิงยังเตะเขาไปหนึ่งที ทำให้เขาเสียหน้ามาก

“นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า”

เฟิงเหยียนโกรธจนเสียสติสัมปชัญญะ แย่งเอาแส้จากคนขับรถม้าที่อยู่ข้างๆและสะบัดฟาดทางอวิ๋นหลิง

เฟิงเหยียนเดิมทีก็ไม่ได้มีพื้นฐานวิชาการต่อสู้แต่อย่างไร อวิ๋นหลิงจะหลบแส้นี้ของเขาก็ทำได้ไม่ยาก แต่ที่จริงนางค่อนข้างจะยินดีที่จะรับแส้นี้ไว้

ในเมื่อก็ไม่ได้กลัวเจ็บสักเท่าไหร่ ให้คนมากมายตรงนี้ได้เห็นว่าเฟิงเหยียนนั้นกระทำรุนแรงต่อนาง เพื่อให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น

ทางที่ดีที่สุดคือให้เรื่องบานปลายไปถึงหน้าพระที่นั่งของฮ่องเต้ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสข่มขู่เอายาล้ำค่ามาจากตระกูลเฟิง เช่นนี้นางก็สามารถมียาไว้รักษาปานพิษของตนเองแล้ว

ความคิดเจ้าเล่ห์ในใจของอวิ๋นหลิงดังขึ้น คิดว่าไม่ถึงว่าจู่ๆจะถูกมือหนึ่งดึงตัวเข้าไปไว้ในอ้อมอกที่แข็งแกร่ง

เสียงของแส้ที่ดังกระทบอากาศบาดหูยิ่งนัก แต่ความเจ็บปวดที่คิดเอาไว้กลับไม่จู่โจมมาที่ตัว อวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบนของด้านข้าง ชะงักไปเล็กน้อย

มือข้างหนึ่งของเซียวปี้เฉิงจับแส้สีดำเส้นนั้นเอาไว้แน่น อีกมือหนึ่งก็ปกป้องนางเอาไว้ในอ้อมอก

ดวงตาของเฟิงเหยียนมีแววตกตะลึงวาบผ่าน สีหน้าแดงเถือกอยากจะดึงแส้กลับไป แม้เขาจะใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่มือของเซียวปี้เฉิงกลับไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด

“เมื่อครู่ ข้าได้เตือนเจ้าแล้ว คิดว่าข้าแค่ขู่เท่านั้นหรือ”

น้ำเสียงเย็นชาเสียดแทงกระดูกยังไม่ทันหายไป เซียวปี้เฉิงก็ปล่อยตัวอวิ๋นหลิงออก ใช้ความเร็วราวกับสายฟ้าฟาดพุ่งตัวไปตามที่มาของแส้จับแขนข้างขวาของเฟิงเหยียนเอาไว้

ฝ่ามือใหญ่และทรงพลังบิดเบาๆ ทันใดนั้นเฟิงเหยียนก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับหมูถูกเชือด

“อ๊า”

ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจ เซียวปี้เฉิงหักแขนข้างหนึ่งของเฟิงเหยียนจริงๆ

ทันใดนั้น ก็มีเงาร่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนจู่โจมมาทางเซียวปี้เฉิงอย่างรวดเร็ว

เป็นองครักษ์ลับของตระกูลเฟิงที่มีหน้าที่ปกป้องเฟิงเหยียน

เซียวปี้เฉิงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด เบี่ยงตัวเล็กน้อยก็สามารถหลบการโจมตีของคนคนนั้นได้แล้ว จากนั้นก็โยนตัวเฟิงเหยียนออกไปราวกับลูกไก่ตัวหนึ่ง

องครักษ์ลับไม่ได้โจมตีอีก แต่เลือกที่จะรับตัวเฟิงเหยียนเอาไว้

“เร็วเข้า รีบส่งคุณชายไปที่โรงหมอ เร็วเข้าซิ”

เฟิงเหยียนเจ็บปวดจนเหงื่อไหลท่วมหัว ร้องตะโกนไปยังองครักษ์ลับอย่างรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ไม่อยู่

“จิ้งอ๋องทรงมีฝีมือร้ายกาจมาก ถ้าหากท่านเสนาบดีซ้ายรู้ว่าฝีมือวิทยายุทธของท่านอ๋องไม่เคยตกเลย ต้องรู้สึกดีใจแทนท่านอ๋องแน่”

องครักษ์ลับมองเซียวปี้เฉิงแวบหนึ่ง จากนั้นก็พาเฟิงเหยียนจากหายไปต่อหน้าผู้คนมากมายในชั่วไม่กี่อึดใจ

อวิ๋นหลิงก็ถูกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้รู้สึกมึนงง

นางแอบรู้สึกตกตะลึงในใจ เซียวปี้เฉิงที่ปกติจะทำหน้าบึ้งตึง ดูทึ่มๆทื่อๆไม่พูดจา นิสัยไม่ดีอีกทั้งยังดื้อรั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีวรยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้

ฝีมือเช่นนั้น ความเร็วขนาดนั้น เกือบจะเป็นระดับเดียวกับพี่รองแล้ว ไม่รู้ว่าหากดวงตาหายดีแล้ว จะมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด

เห็นที”เทพสงคราม”ที่ถูกขนานนามขึ้นมานั้นไม่ได้ยกย่องเกินจริงเลย

เซียวปี้เฉิงเก็บมือ เหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “ไปเถอะ เสียเวลาตรงหน้าประตูมานานแล้ว”

ยากมากกว่าอวิ๋นหลิงจะเดินเข้าไปประคองเขา “พวกเราทำร้ายเฟิงเหยียนจนบาดเจ็บ ต้องชดใช้ค่ารักษาจำนวนมากเลยใช่หรือไม่”

เดิมทีนางยังอยากจะขู่รีดเอายาจากตระกูลเฟิงด้วยซ้ำ คงไม่ต้องเป็นฝ่ายมาชดใช้เงินกระมัง

เซียวปี้เฉิงหลุบตาลง น้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

“เรื่องนี้ข้าเป็นคนทำ ข้าจะรับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่ต้องกังวล”

เขาชินกับการที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบไว้คนเดียวแล้ว

“ไม่จำเป็น ข้าจงใจยั่วยุเขา ข้าย่อมมีส่วนด้วย แม้เขาจะฟ้องร้องไปถึงหน้าบัลลังก์ ข้าจะร่วมรับผิดชอบกับท่านเอง”

คุณธรรมพื้นฐานของนางยังมีอยู่

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เดิมทีข้ายังเป็นห่วงว่าระหว่างท่านพี่กับท่านพี่ปี้เฉิง.....เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดีมากเลย......”

น้ำเสียงของฉู่อวิ๋นหานแฝงแววสั่นเทาที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ เซียวปี้เฉิงรู้สึกสับสนในใจ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือของอวิ๋นหลิง

เขาขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอวิ๋นหลิงพูดจาเหลวไหลเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ในใจรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง

แต่เขาตกลงกับอีกฝ่ายไว้แล้ว การกลับบ้านมารดาวันนี้ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน

“ตอนนี้อากาศยังเย็นอยู่ ฉู่......อวิ๋นหลิงร่างกายได้รับบาดเจ็บ อย่ายืนตากลมอยู่หน้าประตูเลย รีบเข้าไปข้างในเถอะ”

ฉู่อวิ๋นหานหัวใจหนักอึ้ง สีหน้าบิดเบี้ยวไปหลายส่วน

นางต้องรู้ให้ได้ ว่าสามวันมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

ดวงตาของฉู่อวิ๋นเจ๋อกลอกไปมาระหว่างพวกเขา เหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เมื่อต้อนรับกันเข้าไปยังห้องโถงแล้ว เขากับฉู่อวิ๋นหานจึงเข้าไปเชิญสองสามีภรรยารัฐทายาทผู้เฒ่า

เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วยังไม่มา ตงชิงก็ถอนหายใจพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ทั้งๆที่เมื่อวานได้ส่งคนมาบอกล่วงหน้าแล้ว นายท่านกับฮูหยินกลับไม่ได้รอต้อนรับอยู่ในห้องโถง คิดว่าคงยังทะเลาะกันเรื่องจะยกย่องให้เป็นภรรยาหลวงกระมัง”

อวิ๋นหลิงนั่งแทะเมล็ดแตงโมอย่างสบายใจ “ช่างเขาจะทะเลาะกันยังไง วันนี้ข้าอยู่ ก็อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้”

ก่อนหน้านี้เซียวปี้เฉิงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน พอได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น

“ตงชิง น้ำชานี้เย็นชืดแล้ว เจ้าไปเปลี่ยนกาใหม่มา”

เมื่อไล่ตงชิงไปแล้ว ในห้องโถงก็เหลือแค่เขากับอวิ๋นหลิง

“รัฐทายาทผู้เฒ่าจะยกย่องฮูหยินเหลียนเป็นภรรยาหลวงหรือ ก่อนกลับบ้านมารดาเจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้”

รัฐทายาทผู้เฒ่าก็คือพ่อที่ได้มาเปล่าๆของอวิ๋นหลิง เพราะว่าตำแหน่งกั๋วกงยังคงอยู่ในมือของกั๋วกงคนเก่า พ่อของนางไม่ได้สืบทอดตำแหน่งขุนนาง ทุกคนจึงได้แต่เรียกเขาว่ารัฐทายาทผู้เฒ่าตลอดมา

น้ำเสียงของเซียวปี้เฉิงเข้มงวดและเย็นชา หนักแน่นมั่นคง

“ถ้าหากเจ้าให้ข้ากลับมาบ้านมารดากับเจ้า เพื่อจะให้ช่วยเจ้าหยุดเรื่องนี้ ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าเอาไว้ล่วงหน้า ข้าไม่มีทางเข้าไปยุ่งแน่”

เขาแค่ตอบตกลงที่จะกลับมาบ้านมารดาพร้อมนาง ไม่ได้ตกลงจะช่วยนางยุ่งเรื่องนี้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ