รถของอวี้หนานเฉิงกำลังขับออกจากเซิ่งถังมุ่งหน้าไปที่ชิงเหมิงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เซิ่งอันหรานกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานโดยเผชิญหน้ากับชายผู้ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้าม
สือหมิงเฉียงนั่งท่าทางสบายๆ เขาถอดเสื้อหนังออกและโยนไว้ทางด้านข้าง ด้านในสวมเสื้อสเวตเตอร์ถักสีน้ำเงินเข้ม หากมองใกล้ ๆจะเห็นว่าฝีมือการถักเสื้อสเวตเตอร์นั้นไม่วิจิตรงดงามมากนัก มันร่องรอยของการแก้ไข แถมแขนเสื้อสองข้างก็ยาวไม่เท่ากัน
เซิ่งอันหรานนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน สองมือกอดอกด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองถูกแยกจากกันด้วยระยะห่างมากกว่าสองเมตร และกำลังเผชิญหน้ากัน
เมื่อกี้โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น สือหมิงเฉียงจ้องไปที่มือของเธอที่กำลังล้วงอยู่ในกระเป๋าพลางทำการเจรจาต่อรอง
“ผมสามารถบอกกับคุณทุกอย่างที่คุณอยากรู้ แต่หลักการของผมคือผมจะบอกกับคุณคนเดียว ผมก็รู้ว่าคุณเป็นนักธุรกิจ มักจะชื่นชอบการบันทึกและเก็บหลักฐาน แต่ผมไม่ชอบวิธีการแบบนั้น”
เมื่อเซิ่งอันหรานได้ยินเช่นนั้น เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา กดปุ่มยกเลิกการบันทึกเสียง ปิดโทรศัพท์และวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
เธอยกมือขึ้นมากอดอกอีกครั้ง
“แบบนี้โอเคหรือยัง ?”
"โอเค"
สือหมิงเฉียงพยักหน้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ผมรู้ว่าคุณได้ทำการสืบค้นประวัติของผม ก่อนหน้านี้คนที่ปลอมตัวเป็นเพื่อนร่วมงานของผมแล้วไปโรงพยาบาลเพื่อดูจิงจิง คือคุณใช่ไหม ?”
เซิ่งอันหรานไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ และเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่มองเขาอย่างสงบ
ความตั้งใจของสือหมิงเฉียงที่มาหาเธอวันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ก่อนที่เซิ่งอันหรานจะเข้าใจสถานการณ์โดยคร่าวๆ เธอจะต้องระมัดระวังให้มากที่สุด อะไรที่ไม่ควรพูดเธอต้องไม่เอ่ยปากพูด หวังเพียงว่าอีกฝ่ายจะพูดหรือคายข้อมูลออกมาให้ได้มากที่สุด
“ช่วงนี้ที่คุณลงมือทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนมีจุดมุ่งหมายมาที่ฉันและชิงเหมิง ดูเหมือนว่าคุณน่าจะวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยเข้าใจว่า คุณมาถึงที่นี่ในวันนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร ?”
มีกาแฟหนึ่งถ้วยวางอยู่หน้าของเซิ่งอันหราน ไอน้ำร้อนค่อยๆลอยขึ้น นิ้วของเธอแตะเบาๆไปที่ถ้วยกาแฟ น้ำเสียงที่คมชัดดังขึ้นในห้อง
“คุณไม่สามารถทำอะไรฉันที่นี่ได้หรอก จากที่นี่ไปจนถึงทางเข้าลิฟต์มีพนักงานมากกว่า 20 คนในพื้นที่สำนักงานแห่งนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน คุณก็ไม่มีทางหนีออกได้”
เซิ่งอันหรานกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่สงบมาก แต่สือหมิงเฉียงกลับหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความยั่วยุ
“ผมไม่ได้ต้องการชีวิตคุณ และนั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์ของเธอด้วย ”
เมื่อกล่าวถึงคำว่า เธอ ดวงตาของเซิ่งอันหรานก็หดตัวลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งประคองถือถ้วยโดยไม่รู้ตัว ความร้อนจากถ้วยกาแฟไหลเข้าสู่ร่างกายของเธอผ่านฝ่ามือ
"เกาหย่าเหวิน"
เสียงของเธอเย็นชา และพูดออกมาด้วยความมั่นใจระดับหนึ่ง แม้ว่าสือหมิงเฉียงจะแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยอมรับอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนคุณจะรู้จักเธอมากกว่าที่ผมคิด แม้แต่ตัวตนของเกาหย่าเหวินคุณก็ทำการตรวจสอบจนเจอ ”
คำพูดของสือหมิงเฉียงเทียบเท่ากับการยืนยันตัวตนของเกาหย่าเหวินทางอ้อม ดวงตาของ เซิ่งอันหรานหรี่ตาลง
“งั้นจะพูดไปแล้ว เรื่องที่คุณทำก่อนหน้านี้เป็นเพราะทำตามคำสั่งของเธออย่างนั้นเหรอ แต่วันนั้นที่สวนสาธารณะคุณมีโอกาสจะลงมือกับฉัน และในโรงรถของรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อไม่กี่วันก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบางที รถคันนั้นอาจจะเอาชีวิตของเสี่ยวซิงซิงไปแล้วก็ได้ ที่คุณกำลังเผชิญหน้ากับเกาหย่าเหวินในตอนนี้ มันเพื่ออะไร ?
สือหมิงเฉียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม
“หลังจากที่ผมออกจากประเทศไทยมา ผมก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ภายใต้คำสั่งของใครอีกต่อไป การที่ผมร่วมมือกับเธอ ก็เพื่อสิ่งที่ผมต้องการเท่านั้น เช่นเดียวกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของคุณ ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร มันคือความจริง” "
"สิ่งที่คุณต้องการคือเงินใช่ไหม อาการป่วยของหลานจิงจิงป่วย ก่อนหน้านี้เกาหย่าเหวินช่วยคุณในการจับคู่ไขกระดูก ตอนนี้ได้ไขกระดูกที่เหมาะสมแล้ว แต่คุณยังขาดเงินทุนบางส่วนในการผ่าตัด"
ในสมองของเซิ่งอันหรานฉุดภาพใบหน้าที่ไม่แยแสและซูบผอมของหลานจิงจิงขึ้นมา แม้ว่าเธอจะป่วยหนัก แต่เธอก็ยังคงมีความเมตตาต่อโลก ซึ่งแตกต่างจากสือหมิงเฉียง
“หลานจิงจิงรู้หรือเปล่า ว่าคุณทำเรื่องเหล่านี้เพื่อเธอ ?”
เธอถามประโยคนี้ขึ้นมาเบา ๆ ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ใบหน้าอันทุลักทุเลของสือหมิงเฉียง ท่าทางการแสดงออกของเขาเปลี่ยนไป
แต่ชายผู้นั้นก็เก็บซ่อนความรู้สึกในดวงตาของเขาได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องนี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบบุหรี่และไฟแช็กออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างๆ
“ดังนั้นผมจึงไม่เคยบอกกับเธอไปอย่างนั้น และคุณก็ไม่คิดจะบอกเธอด้วยจริงไหม ? ”
“คุณหยุดตอนนี้เสียเถอะ แล้วมาเป็นพยานให้กับฉัน ค่าผ่าตัดของหลานจิงจิง การดูแลเธอภายหลังจากการผ่าตัด รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตหลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาล ให้มาเอาที่ฉัน ”
แม้ว่าสีหน้าของสือหมิงเฉียงไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลยเมื่อได้ยินคำพูดของเซิ่งอันหราน แต่คำพูดของเซิ่งอันหรานก็ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ไม่น้อย
เขาเยาะเย้ย
“เป็นพยานเปื้อนเลือดเหรอ ? ทุกๆเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของผม เฉินจงถูกผมหลอกไปบนถนนจนถูกรถชนตาย ซุนซือหลี่ผมก็เป็นคนฆ่า รวมถึงชายชราของตระกูลอวี้ด้วย ผมเป็นคนดึงท่อออกซิเจนของเขาออกมาด้วยมือของผมเอง แล้วคุณยังต้องการให้ผมเป็นพยานให้ใคร? คุณคิดว่าเกาหย่าเหวินยังเป็นดาราเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้วอย่างนั้นเหรอ ?คดีใหญ่ๆที่เวียดนามเธอยังหลบหนีออกมาได้ ตอนนี้คุณต้องการจะจับเธออย่างนั้นเหรอ ?”
ประโยคนี้ออกจากปากของเขาอย่างราบรื่น จิตใจของเซิ่งอันหรานค่อยๆผุดภาพขึ้นตามคำพูดของเขา ภาพของปู่ที่นอนพะงาบๆอยู่บนเตียงโรงพยาบาลราวกับคนตายก็มิปาน ความโกรธในใจของเธอไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป
เธอยืนขึ้นทันทีพร้อมกับมือที่กระแทกลงบนโต๊ะ สายตาอันโหดร้ายจ้องไปที่สือหมิงเฉียง
“ที่คุณมาที่นี่วันนี้ เพื่อต้องการมาอวด 'ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่' เหล่านั้นของคุณให้ฉันฟังอย่างนั้นเหรอ ? ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำตัวเป็นหมารับใช้ของเกาหย่าเหวิน ฉันก็ไม่ขัด แต่อย่ามาดิ้นอยู่ที่นี่ และฉันสามารถรับประกันได้เลยว่า มันจะต้องถึงเวลาของคุณในอีกไม่ช้า !”
ดวงตาของเซิ่งอันหรานเต็มไปด้วยความโกรธ เธอกำมือแน่น
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซิ่งอันหรานเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ สือหมิงเฉียงก็แสยะยิ้มออกมา เขาคีบบุหรี่ที่ไหม้ไปกว่าครึ่งหนึ่ง ลุกขึ้นและเดินไปหยุดต่อหน้าเซิ่งอันหราน
ตอนนี้ระยะห่างของทั้งสองเหลือเพียงแค่โต๊ะทำงานตัวเดียวเท่านั้น กลิ่นบุหรี่ทำให้เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว สือหมิงเฉียงที่คีบบุหรี่ไว้ในมือ ก็รีบหย่อนก้นบุหรี่ลงในถ้วยกาแฟบนโต๊ะ
“ฟู่ววว”
เปลวไฟสีแดงถูกกาแฟสีน้ำตาลกลืนลงไปทันที
สือหมิงเฉียงวางมือลงบนโต๊ะ เอนตัวไปข้างหน้า และมองเซิ่งอันหรานด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว สายตาของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“คุณต้องการหาหลักฐานและฟ้องผมในคดีฆาตกรรมเหรอ ?ถึงเวลานั้น ผมเกรงว่าผมอาจจะข้ามพรมแดนไปยังที่ที่คุณไม่สามารถหาตัวเจอแล้วก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากเห็นผมรับกรรม ผมยังมีวิธีดีๆอีกวิธีหนึ่ง——"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน