มายมิ้นท์มองไปที่กำไลนั้นด้วยดวงตาคลุมเครือ
จากนั้นเธอก็หยิบกำไลใส่เข้าไปในกล่องดังเดิมแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือเปิดเบอร์โทรของเปปเปอร์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรไปถามให้แน่ชัด
แต่เมื่อนิ้วของเธอสัมผัสไปที่หน้าจอ จู่ๆ ก็นึกขึ้นถึงคำที่ผู้ช่วยเหมันตร์บอกเอาไว้ได้ว่าเขากำลังสนทนาเป็นเพื่อนกับท่านย่าอยู่
ดังนั้นถ้าเธอโทรศัพท์ไปตอนนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่
ช่างเถอะ เดี๋ยวตอนบ่ายค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรตอนบ่ายก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี
คิดไปคิดมามายมิ้นท์จึงปิดกล่องลงแล้วนำกล่องนั้นใส่เข้าไปในลิ้นชักก่อนจะทำการล็อกกุญแจ
ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นของโบราณ ราคาคงจะสูงพอควร หากทำหายล่ะก็ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจของเธอในตอนนี้คงจะชดเชยไม่ไหว
เมื่อล็อกลิ้นชักเรียบร้อยแล้ว มายมิ้นท์ก็นำกุญแจใส่เข้าไปในกระเป๋าแล้วเอื้อมมือไปหยิบเอกสารมาจัดการธุระต่อ
ในขณะเดียวกัน พนักงานทั้งสองบริษัทที่ได้รับโบนัสจากมายมิ้นท์และเปปเปอร์ต่างพากันอัพสเตตัสอัพโมเมนต์ ขอบคุณทั้งสองที่ให้โบนัสและอวยพรให้ทั้งสองคนมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
หากมีคนอัพสเตตัสเพียงแค่คนเดียวยังไม่เท่าไร คงไม่ทำให้เป็นที่สะดุดตา
แต่เมื่อมีหลายๆ คนอัพเดทสเตตัสขึ้น ในไม่ช้าก็เป็นที่สนใจของสื่อ
พวกเขาพากันคาดเดาว่ามายมิ้นท์และเปปเปอร์กลับมาคืนดีกันแล้วแน่ๆ จึงได้แจกลูกอมให้แก่พนักงานทั้งหลาย
ในไม่ช้า ข่าวเรื่องของการคืนดีระหว่างมายมิ้นท์และเปปเปอร์อย่างเป็นทางการก็ได้ปรากฏขึ้นบนแพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นประเด็นร้อนแรง
เมื่อหลายวันก่อนได้มีสื่อออกมารายงานแล้วว่าทั้งสองคนคืนดีกัน
แต่ทั้งสองคนไม่ได้ก้าวออกมาอธิบายอะไร ดังนั้นสองคนนี้แท้จริงแล้วคืนดีกันหรือไม่ก็ไม่มีใครแน่ชัด
แต่คนส่วนมากเลือกที่จะเชื่อว่าทั้งสองคนคืนดีกันแล้วจริงๆ
ไม่อย่างนั้นผู้ที่ตกเป็นข่าวทำไมถึงไม่ออกมาอธิบายอะไรเลย?
ถ้าไม่ออกมาปฏิเสธ นั่นก็หมายความว่ามีเลศนัย
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อตอนนี้ทุกคนเห็นว่าสื่อมีเดียออกมาแถลงข่าวเรื่องที่ทั้งสองคืนดีกันแล้ว น้ำเสียงแห่งความประหลาดใจในอินเทอร์เน็ตจึงไม่ได้มากมายเท่าไรนัก
เนื่องจากว่าคนส่วนมาก คาดเดาไว้แล้วล่วงหน้า และเตรียมใจกับผลลัพธ์นี้เอาไว้แล้ว
ตอนนี้สื่อมีเดียต่างๆ ก็เพียงแค่ออกมายืนยันความจริง เพื่อเป็นการชี้ให้ชัดว่าพวกเขาทั้งหลายไม่ได้เดาผิดก็เท่านั้น
และตอนนี้เรื่องที่เปปเปอร์กับมายมิ้นท์กลับมาคืนดีกัน ก็มีทั้งมุมมองและความคิดเห็นก็แตกต่างกันไป
มีทั้งคนที่อวยพรและคนที่แอบด่าแช่ง
โดยรวมแล้วก็คือการเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองอย่างค่อนข้างจะหนักหนา
ภายในโรงพยาบาล ผู้ช่วยเหมันตร์มองไปยังเปปเปอร์ซึ่งทำใบหน้าเคร่งขรึมจ้องโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เขาจึงได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความระมัดระวังว่า “ประธานเปปเปอร์ครับ จะให้ผมโทรศัพท์ไปหาพวกสื่อเหล่านี้ดีหรือไม่ สั่งให้แบนพวกแอคเคาท์ที่เสนอข้อคิดเห็นไม่ดีออกมาให้หมด
เปปเปอร์หรี่ตาลง “ไม่เป็นไร”
“แล้วจะปล่อยให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ท่านและคุณมายมิ้นท์อย่างนี้เหรอครับ?” ผู้ช่วยเหมันตร์ถามด้วยความแปลกใจ
เปปเปอร์เงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความเยือกเย็น “คิดว่าผมเป็นคนประเภทนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์รีบส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธ
ประธานเปปเปอร์เป็นคนจดจำความแค้นขนาดไหน เขาจะไม่รู้เลยหรือ?
การจะรอให้บาปกรรมมาชดใช้ความผิดของมันด้วยตนเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นกับประธานเปปเปอร์
เพียงแต่ว่า เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าประธานเปปเปอร์คิดอะไรอยู่!
ดูเหมือนจะมองออกว่าผู้ช่วยเหมันตร์คิดอะไรอยู่ ริมฝีปากของเปปเปอร์เผยอขึ้นเล็กน้อย “คนพวกนี้ชอบทำลายชื่อเสียงของคนอื่นไม่ใช่เหรอ? ถ้าเช่นนั้นผมก็จะทำให้พวกเขาอวยพรผม”
“ประธานเปปเปอร์หมายความว่า……”
“บนอินเทอร์เน็ตมีกิจกรรมลุ้นชิงรางวัลเมื่อแชร์ไม่ใช่เหรอ? คุณไปจัดกิจกรรมนี้มา เพียงแค่ใครก็ตามที่แชร์ข่าวนี้ประกอบกับคำอวยพรดีๆ ก็มีสิทธิได้รับเงินรางวัลและของรางวัล คุณคิดว่าพวกเขาจะไม่ทำเหรอ?” ริมฝีปากเรียวบางของเปปเปอร์เผยอแล้วกล่าวขึ้น
ผู้ช่วยเหมันตร์ดวงตาเป็นประกาย “วิธีนี้ดีครับ ผมเข้าใจแล้วครับประธานเปปเปอร์ แล้วจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เปปเปอร์ตอบรับในลำคอว่า “อืม ไปเถอะ”
ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้าแล้วเดินออกไป
“จริงๆ เลยเรา” ท่านย่ารู้สึกขบขันกับคำพูดของเขา หัวใจของเธออบอุ่นยิ่งนัก
เธอรู้ว่าการที่หลานชายไม่ไปไหนนั่นก็เพราะต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็ไม่อยากจะฝืนไล่เขากลับไป
“เปปเปอร์ คำพูดเมื่อครู่ที่พูดกับแพทย์ ย่าได้ยินหมดแล้วนะ” ท่านย่าเอื้อมมือไปสัมผัสที่ท้องของตนแล้วกล่าวขึ้น
แม้ว่าเธอจะแก่ชราและดำเนินชีวิตมาถึงบานปลาย แต่ท่าทางนั้นยังคงสง่างาม
ทุกการเคลื่อนไหวของท่านย่า แม้จะเชื่องช้าแต่ก็น่ามองเหลือเกิน
กาลเวลาไม่อาจทำอะไรหญิงงามได้ คาดว่าคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านย่าเมื่อครู่ ดวงตาของเปปเปอร์ก็หรี่ลงเล็กน้อย “ท่านย่า……”
ท่านย่ายิ้มขึ้นเบาๆ “อย่าได้ตื่นตระหนกไป ดูสิ แม้แต่ย่าเองเมื่อได้ยินว่าตัวเองอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงประมาณสองปี ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย”
เปปเปอร์ก้มหน้าลงแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
จู่ๆ ท่านย่าก็ตบลงไปที่บ่าของเขา “ทำจิตใจให้สบาย ถ้าอารมณ์ย่ำแย่แบบนี้ดูไม่เหมือนหลานชายอันร่าเริงของย่าเลย”
“ขอโทษครับท่านย่า” เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก
ท่านย่ายิ้มขึ้น “มีอะไรให้น่าขอโทษกัน ความเป็นความตายถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ย่าเองก็มีชีวิตอยู่มาหลายปีเพียงพอแล้วล่ะ อีกอย่าง ย่าคิดถึงปู่ของเจ้าแล้วเหลือเกิน”
ประโยคนี้ทำให้เดิมทีที่เปปเปอร์วางแผนจะให้ท่านย่าอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวต่อ เพื่อจะได้รับกระบวนการรักษาอย่างดี คาดว่าน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี แต่จู่ๆ สิ่งเหล่านี้มันก็ติดอยู่ที่ลำคอพูดไม่ออกเลย
ท่านย่าคิดถึงท่านปู่แล้วอย่างงั้นหรือ?
เรื่องนี้จะให้เขาพูดอย่างไรอีก?
จะให้เขาห้ามไม่ให้ท่านย่าคิดถึงท่านปู่ ไม่ให้ไปพบกับท่านปู่หรือ?
สำหรับท่านย่าที่รักท่านปู่อย่างสุดซึ้ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการทำให้เธอต้องอึดอัดใจ
เธอเห็นอารมณ์อันตึงเครียดของเปปเปอร์จึงได้หัวเราะออกมา “เอาล่ะเปปเปอร์ อย่ามัวแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลย ไม่น่ามองสักหน่อย ระวังนะจะเกิดริ้วรอยแล้วมายมิ้นท์จะไม่ชอบเอา เดิมทีเราก็แก่กว่ามายมิ้นท์หลายปี เรียกได้ว่าวัวแก่กินหญ้าอ่อน ถ้าตอนนี้มีรอยตีนกาขึ้นละก็ เวลาทั้งสองคนยืนคู่กันอาจไม่ถูกมองว่าเป็นคนรัก เหมือนเป็นพ่อลูกกันมากกว่า เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้มายมิ้นท์ไม่รังเกียจหลาน คนอื่นก็จะพากันบอกว่าหลานไม่คู่ควรกับเธอเอานะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...