รักหวานอมเปรี้ยว นิยาย บท 856

ตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ว่าในสถานีตำรวจยังคงเปิดไฟสว่างเอาไว้

มายมิ้นท์กับเปปเปอร์จูงมือกันเดินเข้าไปด้วยกัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่โทรคุยกับมายมิ้นท์ พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาแล้ว ก็รีบเดินหน้าเข้ามาต้อนรับ จากนั้นก็พาทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

“คุณมายมิ้นท์ ชุดของคุณอยู่บนโต๊ะครับ คุณไปดูเองเถอะ หวังว่าคุณจะเตรียมใจไว้ก่อนนะครับ” ตำรวจชี้ไปที่โต๊ะในห้องเล็กน้อย แล้วถอนหายใจและพูดขึ้นมา

ในเมื่อเป็นของมูลค่าหลายล้าน แต่ตอนนี้มากลายเป็นสภาพแบบนี้ไปแล้ว ไม่เตรียมใจเอาไว้ซะก่อน ถ้าเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำยังไงล่ะ?

ในเมื่อถ้าเกิดว่าเป็นเขา เขาต้องทนรับความสะเทือนใจไปไหว แล้วเป็นลมไปแน่

พอได้ยินคำพูดของตำรวจ ที่บอกให้เตรียมใจไว้ก่อน จิตใจของมายมิ้นท์ที่สงบนิ่งไปมากแล้วในตอนแรก ตอนนี้ก็เต้นขึ้นมาอย่างร้อนรนอีกครั้ง และเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ

เธอปล่อยมือเปปเปอร์ออก แล้วก้าวเดินไปที่โต๊ะในห้องข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าเปปเปอร์ก็เดินตามไปอยู่ข้าง ๆ เธอ

พอตำรวจเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว ก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าประตูอีก แล้วก็เดินตามเข้าไปด้วย

มายมิ้นท์เดินมาถึงหน้าโต๊ะ ก็เห็นกล่องสองใบที่ใส่ชุดออกงานไว้

กล่องยังอยู่ดีไม่มีความเสียหายอะไร ยังคงสวยงามอย่างเดิม

แต่ของข้างในอาจจะ……

มายมิ้นท์ไม่อยากจะคิดอะไรต่อไป เธอกัดริมฝีปากไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไป แล้วฝาเปิดกล่องใบหนึ่งในนั้นออก

ในระหว่างที่เปิดออก มือของเธอก็เกิดอาการสั่นขึ้นมา เพราะว่าตื่นเต้น

พอเห็นแบบนี้ เปปเปอร์ก็เอามือตัวเองวางลงบนมือมายมิ้นท์ แล้วบีบเบา ๆ ทีหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน และแฝงไว้ด้วยความปลอบโยนที่นับไปถ้วน “ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าสภาพจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างหลังคุณ คุณสามารถวางใจไปทำเรื่องอะไรก็ได้ ทุกอย่างจะมีผมอยู่ด้วยเสมอ”

มายมิ้นท์เงยหน้าขึ้นมามองเขา

บนใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ถึงจะจาง แต่กลับทำให้จิตใจที่สั่นไหวของเธอ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งขึ้นมาทันที

เธอคิดว่า เขาพูดถูก ไม่ว่าในกล่องจะเป็นสภาพไหน จะดีหรือร้าย เธอก็ต้องเผชิญหน้าทั้งนั้น

ในเมื่อต้องเผชิญหน้า งั้นก็อย่าไปเกรงกลัวอะไร ในเมื่อมันก็ได้เป็นไปแล้ว เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของในกล่องได้แล้ว

งั้นก็ไม่สู้ สงบสติอารมณ์หน่อยจะดีกว่า

ที่สำคัญ ไม่ว่าในกล่องจะมีอะไร เธอก็ไม่ได้เผชิญหน้าอยู่ตัวคนเดียว เธอยังมีเขาอยู่เป็นเพื่อนด้วย

พอคิดได้แบบนี้ ใบหน้าที่เคร่งเครียดในตอนแรกของมายมิ้นท์ ก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมาเสี้ยวหนึ่ง “คุณพูดถูก ฉันไม่ตื่นเต้นแล้วค่ะ”

พูดแล้ว เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นพอสงบสติอารมณ์ได้หมดแล้วจริง ๆ มือก็ไม่สั่นอีกต่อไป

แต่ว่าเปปเปอร์ยังคงไม่ได้เอามือออกจากบนมือเธอ แล้วก็เปิดฝากล่องออก พร้อมกันกับเธอ

ในวินาทีที่เปิดออก แล้วเห็นสภาพที่อยู่ด้านใน ม่านตาของมายมิ้นท์ก็หดตัวไปทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย

และสีหน้าของเปปเปอร์ก็มีแววตกตะลึงพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็ดูแย่ลงและเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก รอบตัวก็แผ่ซ่านไปด้วยความเย็นยะเยือกที่ทำให้คนกลัวจนหายใจไม่ออก จนทำให้ตำรวจที่อยู่ด้านหลังรู้สึกหนาวจนตัวสั่นขึ้นมา จากนั้นก็มองไปที่เปปเปอร์อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

โอ้โห นี่ก็คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ควบคุมพนักงานหลายแสนคนนี่เอง

“แก้แค้นเหรอคะ?” มายมิ้นท์อึ้งไปเล็กน้อย

เปปเปอร์โยนเศษผ้ากลับเข้าไปในกล่อง “ในตอนแรก ผมนึกว่าคนที่ขโมยชุดไป ก็แค่เห็นเงินแล้วตาโตธรรมดาเท่านั้น ขโมยชุดไปก็คงจะเอาไปขาย แต่ตอนนี้พอมาเห็นเศษผ้าพวกนี้แล้ว ผมก็รู้สึกว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว โจรคนนั้นจะต้องไม่มีทางขโมยเพื่อเอาไปขายแน่ เขาต้องไปรับคำสั่งจากคนอื่นถึงมาปรากฏตัวที่นั่น พอขโมยชุดของคุณได้แล้ว ก็เอาชุดไปส่งมอบให้กับคนคนนั้น และคนคนนั้นก็มีความแค้นกับคุณ จากนั้นก็เลยตัดชุดของคุณเพื่อเป็นการระบาย”

“ใช่ครับ” ในขณะนั้นเอง ตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองคนมาตลอด อยู่ ๆ ก็พยักหน้าและพูดขึ้นมา “พอพวกเราเห็นชุดสองชุดนี้แล้ว ก็ตกตะลึงไปยกใหญ่เหมือนกัน แล้วก็รับรู้สึกได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่คดีลักทรัพย์ธรรมดา และเหมือนอย่างที่ประธานเปปเปอร์คาดเดามา ถ้าเกิดคนที่มาขโมยแค่ทำเพื่อเงินละก็ ถึงจะไม่ได้ขายชุดไปเร็วขนาดนี้ ก็ไม่มีทางกรีดชุดพังแน่ ในเมื่อชุดนั้นมีมูลค่าสูงมาก แต่ว่าชุดกลับโดนกรีดพังไปแล้ว แถมยังพังจนไม่รู้จะพังยังไงแล้วด้วย จึงมีเพียงคำอธิบายได้อย่างเดียว นั่นก็คือศัตรูของคุณมายมิ้นท์ตั้งใจที่จะแก้แค้นคุณครับ”

“ศัตรู แก้แค้นฉัน……” มายมิ้นท์มีสีหน้าย่ำแล้วหรี่ตาลง เริ่มครุ่นคิดขึ้นมาว่ามีโอกาสเป็นใครได้บ้างนะ

เปปเปอร์จ้องมองเธอครุ่นคิดไป และก็ไม่ได้รบกวนเธอ จากนั้นก็หันสายตาไปที่ตำรวจที่อยู่ข้าง ๆ “พวกคุณจับตัวผู้ร้ายได้จากที่ไหนครับ?”

“จับได้ที่สถานีกำจัดขยะแห่งหนึ่งครับ” ตำรวจตอบกลับมา

หัวคิ้วของเปปเปอร์ขมวดกันแน่นราวกับว่าจะหนีบแมลงวันตัวหนึ่งตายได้เลย “คนคนนั้นอยากจะกำจัดชุดออกงานทิ้งเหรอ?”

“ใช่ครับ” ตำรวจพยักหน้าขึ้น “ตอนที่พวกเราจับตัวเขาได้ เขากำลังจะเอาชุดโยนเข้าไปในบ่อเผาขยะ จากนั้นก็โดนพวกเราขัดขวางไว้ทันเวลา แต่ว่าตอนนั้น ชุดในกล่อง ก็พังจนกลายเป็นสภาพนี้แล้วครับ”

“งั้นตอนที่พวกคุณจับตัวคนร้ายได้ ข้างกายเขามีคนอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า?” เปปเปอร์ถามขึ้นมาเสียงขรึมอีก

ตำรวจส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่มีครับ มีแค่เขาคนเดียว แต่ว่าพวกเราจับตัวเขาได้เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่เวลาที่คุณมายมิ้นท์แจ้งความเข้ามานั้นเป็นเวลาหกชั่วโมงก่อนหน้า ซึ่งก็หมายความว่า ในระหว่างสี่ชั่วโมงนี้ พวกเราไม่ทราบเบาะแสเขาเลยครับ ยิ่งไม่ทราบว่าเขาไปไหนมา ไปเจอกับใครมาบ้าง แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้เลยก็คือ ในเวลาสี่ชั่วโมงนี้ คนคนนี้จะต้องเคยเจอไปกับคนที่สั่งให้เขาไปขโมยของมาก่อนแน่ และที่สำคัญพอคนคนนี้ทำลายชุดไปแล้ว ก็ยังตั้งใจสั่งเขาว่าให้เอาชุดไปโยนทิ้งในเตาเผาขยะ เพื่อทำลายหลักฐานซะ”

พอฟังคำพูดของตำรวจจบ สีหน้าของเปปเปอร์ก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อพวกคุณจับตัวเขาได้ตั้งนานแล้ว ยังสอบสวนไม่ได้อีกเหรอว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง?”

ตำรวจยิ้มขมขื่นขึ้นมา “ประธานเปปเปอร์คงจะไม่รู้ คนคนนี้เป็นนักโทษที่เข้ามาในสถานีตำรวจของเราเป็นประจำอยู่แล้ว มักจะโดนพวกเราจับเพราะว่าขโมยของอยู่บ่อย ๆ และที่สำคัญก็ปากแข็งมาตลอดด้วย พวกเรากำลังขังเขาไว้ในห้องสอบสวนอยู่ และทำการใช้แสงไฟแรงสูงกดดันเขา ต้องทำให้สภาพจิตใจเขาย่ำแย่ขึ้นมาหน่อย ถึงจะสอบสวนได้ผลอย่างที่พวกเราต้องการออกมาได้ครับ”

เปปเปอร์เม้มปากขึ้นเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรขึ้นมาหน่อย อยู่ ๆ มายมิ้นท์ก็ลืมตาโตขึ้นมา แล้วพูดด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “ฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำแล้วค่ะ”

เปปเปอร์และตำรวจรีบมองไปที่เธอทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว