ถึงแม้ว่าสายตาของคุณนายราศรีที่มองสำรวจมาที่เขาจะแฝงไว้ด้วยความวิเคราะห์ และแฝงความสงสัยไว้ต่าง ๆ นานา ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าขุ่นเคืองหรือว่าไม่พอใจอะไร
ก่อนที่จะมา ซึ่งก็คือช่วงเวลาตอนสาย อยู่ที่บริษัทเขาได้เรียกเลขาหลายคนที่เคยแต่งงานแล้วมาที่ห้องทำงานเขาโดยเฉพาะ เพื่อจะถามพวกเขาว่า ครั้งแรกที่ไปเจอพ่อตาแม่ยายจะเจอสถานการณ์อะไรบ้าง แล้วพอพบเจอแล้ว ก็ควรจะรับมือยังไงถึงจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด
เลขาหลายคนบอกเขาว่า พ่อตาแม่ยายก็เหมือนกับพ่อสามีและแม่สามี ล้วนต้องมีการทดสอบสักหน่อยให้กับลูกเขยหรือลูกสะใภ้ที่มาบ้านครั้งแรก เพื่อจะทดสอบว่าคนคนนี้เหมาะสมกับลูกชายหรือลูกสาวตัวเองหรือเปล่า
แล้วบททดสอบส่วนใหญ่ของพ่อตาแม่ยายหรือพ่อแม่สามีพวกนี้ ด่านแรกก็คือการมองสำรวจ มองสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกของฝ่ายชายหรือว่าฝ่ายหญิง
ถ้ารูปลักษณ์ภายนอกผ่าน งั้นโอกาสที่จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาก็สำเร็จไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
และด้วยเหตุนี้ เปปเปอร์จึงรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าตัวเองจะถูกคุณนายราศรีและสามีมองสำรวจ แล้วก็เตรียมตัวที่ถูกมองสำรวจมาแล้ว
นี่ก็เลยทำให้ พอคุณนายราศรีมองสำรวจมา เขาก็เลยยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่งมาก และปล่อยให้เธอมองสำรวจไป
เขามั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองมาตลอด พูดตามตรงว่า ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถเทียบเขาได้หรอก
แน่นอนว่า ไม่นับอีธานที่หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงคนนั้น
ผลปรากฏว่า พอคุณนายราศรีมองสำรวจไปแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งตัวจะดูเหี่ยวเฉาไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้พูดว่ารูปลักษณ์ของเขามีปัญหาตรงไหน หรือมีส่วนไหนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ความงามของเธอเลย
นี่ก็สามารถบอกได้ว่า ด่านรูปลักษณ์ภายนอกนี้ ถือได้ว่าเขาได้สอบผ่านแล้ว
คุณนายราศรีหาข้อผิดพลาดอะไรไม่เจอ งั้นแผนการแรกก็ถือได้ว่าสำเร็จแล้ว
คิดแล้ว เรียวปากของเปปเปอร์ก็คลี่ยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็มองเห็นมายมิ้นท์ที่อยู่ข้างกายคุณนายราศรี แอบชูนิ้วโป้งขึ้นมาให้เขาอันหนึ่ง
พอเห็นภาพแบบนี้ รอยยิ้มของเปปเปอร์ ก็ยิ่งเด่นชัดมากยิ่งขึ้น “คุณป้าราศรี มองเสร็จหรือยังครับ? การแต่งกายของผมที่ใส่มาวันนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ?”
ความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดก็คือจะถามว่า คนอย่างเขานี้ น่าจะทำให้เธอพึงพอใจเป็นอย่างมากเลยซินะ
ในเมื่อคำพูดแบบนี้มันพูดออกมาตรง ๆ ได้ยาก ดังนั้นจึงใช้การแต่งกายมาถามแทน
แต่ความหมายนั้น ทุกคนต่างก็รู้
พอคุณนายราศรีได้ยินคำถามของเปปเปอร์ ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่แค่ทำเสียงหึใส่เขาเล็กน้อย แล้วก็ลากตัวมายมิ้นท์ไปกะหนุงกะหนิงขึ้นมา “มิ้นท์ ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้ว ทำไมถึงผอมไปมากขนาดนี้? มีใครบางคนไม่ดีกับหนูหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าใช่ หนูก็บอกป้ามานะ ไม่ว่ายังไงป้าก็ต้องยืนข้างหนูแน่ ๆ!”
พูดแล้ว เธอก็เหล่มองไปที่เปปเปอร์อย่างมีความหมายแอบแฝงทีหนึ่ง
เปปเปอร์ยักคิ้วขึ้นมาทีหนึ่ง
ได้ การทดสอบขั้นที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว
พวกเลขาของเขาเคยบอกไว้ว่า หลังจากที่รูปลักษณ์ผ่านด่านแล้ว พ่อตาแม่ยายหรือพ่อแม่สามี ก็จะเริ่มหลอกถามจากลูกสาวหรือลูกชายของตัวเอง จะถามพวกเขาว่าอีกฝ่ายดีกับพวกเขาหรือเปล่า แล้วถึงพวกเขาจะรู้ว่าคู่ของลูก ๆ ของพวกเขาดีกับลูก ๆ ของพวกเขามาก
แต่พวกเขาก็ยังจะตั้งใจพูดคำพูดข่มขู่คู่ของลูก ๆ พวกเขาออกมาเล็กน้อย เพื่อที่จะต้องการทดสอบนิสัยและอารมณ์ของคู่ของลูก ๆพวกเขา
ถ้าเกิดว่านิสัยและอารมณ์ของคู่ของลูก ๆ พวกเขาไม่ดี ทะนงตนมากเกินไป ก็ไม่มีทางที่จะรับได้คำพูดแบบนี้ได้ แล้วก็คงจะจากไปเลย แบบนั้นพ่อแม่อย่างพวกเขา ก็ถือได้ว่าช่วยลูก ๆ ของพวกเขาดูคนชั่วคนหนึ่งออกได้เลย
แต่ถ้าเกิดว่าคู่ของลูก ๆ พวกเขามีนิสัยและอารมณ์ที่ดีมาก จะต้องไม่มีทางรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้มีปัญหาอะไรแน่นอน จะรู้สึกแต่ว่าเป็นธรรมดามาก ในเมื่อคนที่เป็นพ่อแม่เป็นห่วงว่าลูก ๆ จะโดนรังแก ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
ขอแค่คนที่ลูก ๆ ของพวกเขาหามาเป็นคนดี และพึ่งพาได้ ก็จะไม่มีทางไม่พอใจกับคำพูดพวกนี้ และจะยิ้มอย่างสงบนิ่ง แล้วก็จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งต่อจากนี้ไปอย่างไม่มีแรงกดดันอะไรในใจเลย
และตอนนี้เปปเปอร์ก็มีสภาพจิตใจแบบนี้
เขาปฏิบัติต่อสะระแหน่ เป็นแบบทุ่มเทให้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้รู้สึกผิด
ใช่เขานิสัยไม่ดีเท่าไหร่รัก แต่กับสะระแหน่นั้น ไม่มีอะไรให้พูดแน่นอน ผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดในโลก จะต้องเป็นเขาแน่นอน!
ทางด้านหนึ่ง พอได้ยินคุณนายราศรีถามคำถามกับตัวเอง มายมิ้นท์ก็รู้แล้วว่าคุณนายราศรีนั้นตั้งใจถามให้เปปเปอร์ได้ยิน
เขาตามเปปเปอร์มาถึงกระโปรงหลังรถ
พอเห็นของกองอยู่เต็มหลังรถ ประธานวสุก็ตกตะลึงมาก “เอามาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
เปปเปอร์หิ้วของที่อยู่ข้างในออกมาทีละอย่าง “คุณป้าบอกแล้วครับ แต่พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ มันไม่มีมารยาท ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมมาเยี่ยมพวกคุณ ถ้าไม่เอาของขวัญมาด้วยมันก็ไม่สมเหตุสมผล ในจุดนี้ สะระแหน่ก็เห็นด้วยครับ”
“แบบนั้นก็ไม่ต้องเอามาเยอะขนาดนี้เลยนี่” ประธานวสุพูดต่อ “เอาของขวัญมาชิ้นเดียว ให้พอเป็นพิธีก็พอแล้ว ไม่ใช่คนนอกกันสักหน่อย ยังจะมาเกรงใจกันขนาดนี้อีก เอาล่ะ รีบเอาของขวัญพวกนี้เก็บกลับเข้าไป เอาไปแค่ชิ้นเดียวก็พอแล้ว”
พูดแล้ว เขาก็จะช่วยเก็บกลับเข้าไป
แต่ว่าโดนปฏิเสธซะก่อน
“คุณลุงครับ นี่เป็นความตั้งใจของพวกเรา ไหน ๆ ก็เอามาแล้ว ยังจะมีเหตุผลอะไรให้เอากลับไปอีก แบบนี้มันจะทำให้สะระแหน่ไม่พอใจได้นะครับ? หรือไม่เธอก็จะนึกว่าพวกคุณไม่ชอบเธอแล้วซะอีก ถึงได้ให้พวกเราเอาของกลับไป” เปปเปอร์ปิดกระโปรงหลังรถไป แล้วมองไปที่ประธานวสุแล้วพูดขึ้นมา
เขาเชื่อว่า พอตัวเองเอามายมิ้นท์ออกมาอ้าง
ประธานวสุก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว
แล้วก็เป็นไปตามคาด พอประธานวสุได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็รีบส่ายหน้าแล้วอธิบายขึ้นว่า “พวกเราจะไม่ชอบเธอได้ยังไงกัน พวกเราปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นลูกสาวแท้เลยนะ”
“แบบนั้นก็พอแล้ว ของที่ลูกสาวเอามาแสดงความกตัญญู พวกคุณรับไว้อย่างสบายใจก็พอแล้ว ถ้าไม่รับไว้ก็จะทำให้สะระแหน่อีก คุณว่าใช่ไหมล่ะครับ?” เปปเปอร์จ้องมองไปที่ประธานวสุ
ปากของประธานวสุกระตุกขึ้นมาสองที สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “งั้นก็ได้ งั้นก็พวกเราก็จะรับไว้เลยนะ ทำให้พวกเธอต้องสิ้นเปลืองแล้ว”
“ราคาไม่เท่าไหร่หรอกครับ คุณลุงอย่าพูดแบบนั้นเลย” เปปเปอร์หิ้วถุงแล้วกล่องหลายใบขึ้นมา
เพียงแต่ว่าหลักเกินไป แล้วแขนซ้ายของเขาก็ยังไม่หายสนิท พอตอนนี้มาหิ้วของแล้ว ก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่า แขนซ้ายมีความรู้สึกเจ็บลอยมา
จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่มองที่แขนซ้ายทีหนึ่ง แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...