สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 18

จนกระทั่งเงาของอินชิงเสวียนหายลับไป เย่จิ่งอวี้ถึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องหนังสือ

หลี่เต๋อฝูกำลังชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความกังวลใจ

พักนี้อยู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ตนเองคอยติดตาม หรือว่าพระองค์จะยังโกรธตนเองเรื่องไป๋เสวี่ยอยู่?

แต่ตนเองวิ่งไล่ไป๋เสวี่ยไม่ไหวจริงๆ นี่นา!

และพอคิดว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ขันทีคนอื่นติดตามไปด้วย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย

ฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหนกันแน่?

และก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะพลิกป้ายของสนมคนใดเลย และเนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาถูกไทเฮาเรียกไปต่อว่าอยู่หลายครั้ง

มีฮ่องเต้ที่ไหนขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีแล้วยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับสนมคนใดเลย?

หรือว่า...ฝ่าบาททรงประชวร?

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินมาแต่ไกลๆ ในมือยังถือห่อกระดาษไขมาด้วย

หลี่เต๋อฝูจึงรีบวิ่งไปรับทันที

"ฝ่าบาท พระองค์เสด็จกลับมาเสียที บ่าวร้อนใจจะแย่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้ยัดห่อกระดาษไขไปไว้ในมือของเขา

"ตรวจดูสิว่าสิ่งนี้มีพิษไหม?"

"นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

หลี่เต๋อฝูคลี่กระดาษออก เห็นเพียงสิ่งของที่มีรูปร่างอ้วนๆ กลมๆ นอนอยู่ข้างใน หน้าตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง "มันเรียกว่าซาลาเปา"

หลี่เต๋อฝูทำท่างุนงง ไม่รู้ว่าซาลาเปาที่ว่าคืออะไร แต่ก็หยิบเข็มเงินมาแล้วจิ้มลงไปทดสอบพิษ

เขาโค้งตัวแล้วพูดว่า "ฝ่าบาทวางพระทัย สิ่งนี้ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้ตอบรับในลำคอ แล้วหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมากัดกิน

ในใจพลางคิดถึงความเป็นไปได้ของโครงการผันน้ำจากใต้สู่เหนือ

หลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องกลืนน้ำลายตาม

มันหอมมาก

เย่จิ่งอวี้กินหมดไปหนึ่งลูก ก็หยิบอีกลูกหนึ่งขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองเห็นหลี่เต๋อฝูที่กำลังจ้องมองตนเอง จึงหยิบลูกหนึ่งโยนให้เขาไป

"เอาไปลองชิมดู"

"ขอบพระทัยพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูเองก็หิวมากเช่นกัน

พวกเขาที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติฮ่องเต้เหล่านี้ เดิมทีก็ไม่กล้ากินมากอยู่แล้ว เกรงว่ากินมากเกินไปร่างกายจะเกิดความผิดแผก จนทำให้ล่วงเกินเจ้านาย ตอนนี้จึงรู้สึกหิวอย่างมาก เมื่อได้ซาลาเปามาก็เอาเข้าปากทันที

กินหมดก็ยังอดที่จะเลียปากไม่ได้ "ซาลาเปา สิ่งนี้ช่างเลิศรสเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้พยักหน้า "ก็ไม่แย่จริงๆ"

หลี่เต๋อฝูอยากถามมากว่าฝ่าบาทนำมาจากที่ไหน แต่เย่จิ่งอวี้ก็ก้มหน้าอ่านฎีกาเสียแล้ว

ส่วนอินชิงเสวียนเองก็กลับถึงวังเย็นอย่างปลอดภัยแล้วเช่นกัน

เมื่อมองเห็นตั๋วเงินหกร้อยตำลึง อวิ๋นฉ่ายก็เบิกตาจนกลมโต

"พระสนม พระองค์สุดยอดเลยเพคะที่สามารถหาเงินได้มากมายขนาดนี้ในเวลาเพียงสั้นๆ"

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างได้ใจ "แน่นอน เจ้านายของพวกเจ้าคือใครล่ะ เรื่องแค่นี้จะยากอะไรสำหรับข้า? นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบไปนอนเถอะ ข้ายังต้องทำอย่างอื่นอีกสักหน่อย"

อวิ๋นฉ่ายรีบถามทันทีว่า "พระสนมจะทำอะไรหรือ อวิ๋นฉ่ายช่วยพระองค์เพคะ"

"ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยข้าได้"

อินชิงเสวียนพูดเสร็จก็เดินเข้าไปในเรือน เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ไม่มีกระดาษและปากกา

จึงได้แต่เข้าไปแลกซื้อกระดาษขาวแผ่นใหญ่จำนวนหนึ่ง และปากกาหมึกซึมหนึ่งด้ามในมิติ

โชคดีที่ก่อนหน้านี้ได้ 50 คะแนนคืนมา มิเช่นนั้นก็ต้องปวดใจอีกเป็นแน่

เมื่อกลับถึงในห้อง ก็จุดเทียนแล้วเริ่มวาดแบบแปลน

หากอยากผันน้ำจากใต้สู่เหนือให้สำเร็จ ก่อนอื่นจะต้องขุดคูคลองเป็นทางน้ำ และสร้างอ่างเก็บน้ำ แล้วผันน้ำจากแม่น้ำตามตำแหน่งภูมิศาสตร์ต้นน้ำแต่ละที่

จำได้ว่าประเทศจีนกว่าจะแล้วเสร็จโครงการยักษ์ใหญ่นี้ก็ใช้เวลากว่าแปดถึงเก้าปี แต่อาณาเขตของแคว้นต้าโจวนั้นมีขนาดเล็กกว่าฮว๋าเซี่ยมาก หากทุ่มเทสุดกำลัง และทำให้ซับซ้อนน้อยลง ใช้เวลาสักสองถึงสามปีก็น่าจะเสร็จสิ้นพอสมควร

ส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือค่อยๆ ดำเนินต่อก็ภายหลังได้

หากว่าสำเร็จจริงๆ ก็นับเป็นบุญอย่างหนึ่ง

หลังจากที่ปลอบใจตนเองแล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างไรเสียที่เธอทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อฮ่องเต้เฮงซวยคนนั้นอยู่แล้ว

เช้าวันถัดมา

ตำหนักจินหลวน

เย่จิ่งอวี้ก็ถามคำถามทันทีเริ่มว่าราชการ "ตกลงว่าฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ใดกันแน่?"

ทุกคนต่างมีสีหน้างุนงง

ลู่จิ้งเสียนไอกระแอม แล้วเดินเข้าไปเช่นกัน

"ฝ่าบาท หม่อมฉันใช้วัตถุดิบที่อดออมโดยเฉพาะทำพระกายาหารมาสองอย่าง เชิญฝ่าบาทเทียบเครื่องเพคะ"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า "ข้าไม่อยากกิน ออกไป"

ลู่จิ้งเสียนจึงพูดด้วยน้ำเสียงแกล้งน้อยใจทันทีว่า "ฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งใจทำมาถวายจริงๆ นะ พระองค์เทียบเครื่องสักคำเถิดเพคะ"

ดวงตาเรียวยาวของเย่จิ่งอวี้ฉายแววอึมครึม "ข้าบอกว่าออกไป"

สีหน้าลู่จิ้งเสียนซีดเผือดในทันที เธอยืนอยู่ในห้องครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า "หม่อมฉันทูลลาเพคะ"

หลังออกจากห้อง เธอก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างห้ามไม่ได้

"ไปตำหนักฉือหนิง ฝ่าบาทไม่เสวย งั้นเราก็เอาไปถวายไทเฮา"

ตำหนักฉือหนิง

ไทเฮาถือตะกียบเงินข้างหนึ่งในมือ และกำลังหยอกล้อกับนกแก้วปากแดงตัวหนึ่ง

เมื่อเห็นลู่จิ้งเสียนเดินเข้ามาด้วยท่าทีโมโห จึงตำหนิทันทีว่า "ตอนนี้เจ้าเป็นเสียนเฟยแล้ว จะยังขี้น้อยอกน้อยใจเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร เจ้าคือผู้ที่วันหลังต้องเป็นฮองเฮา ทำตัวเฉกเช่นนี้แล้วจะทำให้วังหลังยอมศิโรราบต่อเจ้าได้อย่างไร"

ลู่จิ้งเสียนยื่นมือไปกอดไทเฮาไว้ พูดอย่างออดอ้อนว่า "เรื่องนี้จะโทษหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันพยายามทุกวิธีเพื่อเอาอกเอาใจฝ่าบาท แต่เขากลับไม่เห็นหม่อมฉันอยู่ในสายตาเสมอ ไม่ว่าเป็นใครก็รู้สึกไม่ดีทั้งนั้นเพคะ"

ไทเฮาดันมือของเธออก แล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน

"เพียงพริบตา ฝ่าบาทก็ขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีเศษแล้ว แต่กลับไม่เคยโปรดปรานวังหลังเลย หรือว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าตาเขาเลยสักคน?"

ลู่จิ้งเสียนทำปากจู๋แล้วพูดว่า "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ"

ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ตอนนี้ในวังมีหญิงงามเข้ามาตั้งมากมาย กลับไม่มีใครสักคนได้รับการแต่งตั้ง แบบนี้มิใช่เรื่องที่ดี หากยิ่งนานวันเข้า จะต้องกลายเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ของบรรดาขุนนางต่างๆ แน่นอน"

ลู่จิ้งเสียนส่งเสียงในลำคอแล้วพูดว่า "หม่อมฉันไม่อยากดูแลหญิงงามเหล่านั้น หม่อมฉันต้องการแค่เข้าเรือนหอกับฝ่าบาทเพคะ"

ไทเฮาจ้องเขม็งนางทีหนึ่งแล้วว่า "ไร้ยางอาย"

จากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง "หากในตอนนั้นผู้ที่อดีตฮ่องเต้ทรงเลือกคือเย้าเอ๋อร์ ข้าก็ไม่ต้องกังวลใจมากขนาดนี้"

ยายเฒ่าสะดุ้งตกใจ และรีบสั่งบ่าวรอบๆ ให้ถอยออกไป

แล้วพูดเสียงเบาว่า "หูตาอยู่รอบตัว ไทเฮา เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยเพคะ"

"ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย จะตื่นเต้นขนาดนี้ไปทำไม"

ไทเฮาหยิบตะเกียบขึ้นมาและหยอกล้อกับนกแก้วอีกครั้ง

眼中却多了几分说不清道不明的东西。

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์