ซูฉ่ายเวยกำลังเตรียมตัวเข้านอน ก็ได้ยินคำพูดที่น่ายินดีเสียก่อน
นางคว้าคอเสื้อของนางกำนัลคนหนึ่งมาถามเพื่อความแน่ใจ "ฝ่าบาทเสด็จมา? ข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่?"
นางกำนัลซงลั่วพูดตอบอย่างดีใจว่า "เจ้านายได้ยินไม่ผิดแล้วเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ เจ้านายรีบออกไปรับเสด็จเถิดเพคะ"
ซูฉ่ายเวยทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
นางเพิ่งจะถอดเครื่องประดับออก สีปากก็ลบออกแล้ว ชะ...เช่นนี้จะไปกล้าพบผู้คนได้อย่างไร
"มานี่ รีบมาแต่งตัวให้ข้า เร็ว เอาเครื่องประดับของข้ามาด้วย สีทาปากด้วย"
ซูฉ่ายเวยรีบร้อน จนทำเครื่องประทินโฉมต่างๆ หกลงเลอะพื้นห้องไปหมด เหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ก็ยิ่งพากันร้อนรนจนวุ่นวาย เพื่อจะช่วยซูฉ่ายเวยแต่งตัวได้แล้วเสร็จ
เย่จิ่งอวี้เดินลงมาจากเกี้ยวที่ประทับแล้ว เขากำลังใช้สายตาอันเย็นเยียบกวาดมองไปทั่วหอ
จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "เรียกทุกคนที่อยู่ข้างในออกมาให้หมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขันทีและนางกำนัล"
หลี่เต๋อฝูมองไปที่ฝ่าบาทหนึ่งครั้ง ในใจก็ได้แต่สงสัย เมื่อครู่เขายังคิดอยู่เลยว่าฝ่าบาทถูกใจในตัวหญิงงามนางนี้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูจะไม่ใช่อย่างนั้น
"พ่ะย่ะค่ะ"
เขาเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จับลำคอของตัวเองก่อนจะประกาศขึ้นเสียงดังว่า "ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ทุกคนออกมายืนที่ลานกว้างนี้ให้หมด ทุกคนที่อยู่ภายใต้สังกัดของหอฉงฮวา ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว"
ซูฉ่ายเวยยิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งร้อนรน นางหยิบเอาแผ่นสีปากบนพื้นมาเม้มหนึ่งที สวมใส่ชุดเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกทันที
หญิงงามซูฉ่ายเวย ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ
ด้านหลังนาง ทั้งนางกำนัลกับขันทีรวมห้าหกคน ต่างก็คุกเข่าลงอยู่ในลานเป็นแถวเดียวกัน
หลี่เต๋อฝูถือโคมไฟขึ้นก่อนจะพูดเสียงดังต่อว่า "เงยหน้าขึ้นให้หมด ให้ฝ่าบาทดูหน้าให้ชัดเจนหน่อย"
ซูฉ่ายเวยทั้งดีใจแล้วก็ตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน นางเงยหน้าขึ้นมาอย่าสั่นๆ
เห็นเพียงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าในชุดยาวสีเขียวยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ คิ้วงามทั้งคู่คมเข้ม สายตาเย็นชา ด้านล่างจมูกโด่งๆ นั่นมีริมฝีปากที่บางเฉียบ นัยตาคู่คมดุจตาหงส์หรี่เล็กลงเพื่อจ้องมองทุกๆ คนบนพื้นอย่างเย็นชา
แสงจันทร์ที่สาดส่องยิ่งทำให้รูปร่างสูงโปร่งของเขาบังเกิดเป็นเงาดำที่ลากยาวขึ้นไปอีก เมื่อเงานั้นพาดผ่านลงบนหัวของคนที่นั่งอยู่ ยิ่งเพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปใหญ่
ซูฉ่ายเวยรู้สึกเพียงแค่หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะระรัว เลือดทั้งหมดในกายต่างก็ไหลมารวมกันอยู่บนหัวเธอ จนเธอแทบจะเป็นลมสิ้นสติลงตรงนั้น
ฝ่าบาทหน้าตาดีมาก ดูทรงอำนาจ!
หากว่าได้รับความโปรดปราณจากฝ่าบาท เธอคิดว่าแค่นั้นก็คงจะทำให้เธอนอนตายอย่างมีความสุขแล้ว
กำลังจินตนาการว่าฝ่าบาทฉุดมือเธอขึ้นแล้วโอบเอวพาเข้าห้องไปอยู่นั่นเอง...
ก็ได้ยินเสียงต่ำเย็นชากล่าวขึ้น "ในหอนี้ มีแค่พวกเจ้าเท่านั้นเหรอ?"
ซูฉ่ายเวยตกใจพูดไม่ออก เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ปะทะเข้ากับสายตาเย็นเยือกของเย่จิ่งอวี้พอดี ทำเอาเธอตัวสั่นงันงก พูดออกไปอย่างสั่นๆ ว่า "ทูลฝ่าบาท ในหอแห่งนี้มีขันทีสามคน นางกำนัลสามคน รวมหม่อมฉันด้วยทั้งหมดเจ็ดคน ล้วนนั่งอยู่ในที่นี้หมดแล้วเพคะ"
เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังก่อนจะเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว
เขาใช้สายตาที่นุ่มลึกมองไปที่ใบหน้าทั้งหลายอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่พบใบหน้าที่งดงามราวหยกขั้นดีนั้น ในใจเขารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
หรือเขาจะไม่ใช่คนของหอฉงฮวา?
เขาเหล่สายตาไปถามทันที "ใกล้ๆ นี้ยังมีตำหนักอะไรอีกบ้าง?"
หลี่เต๋อฝูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะมีก็แค่วังเย็นอีกเพียงที่เดียวเท่านั้น"
เมื่อได้ยินคำว่า "วังเย็น" เย่จิ่งอวี้ก็คิดไปถึงหญิงแพศยาหน้าไม่อาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเองคนนั้น ทำให้ใบหน้าหล่อเหล่ายิ่งเย็นยะเยือกลงอีกหลายส่วน
หลี่เต๋อฝูเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เขารีบคำนับขอขมาอย่างรวดเร็วแล้วไม่กล้ากล่าววาจาอะไรเพิ่มเติมอีก
เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ จากนั้นก็สะบัดชุดขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวต่อ
หลี่เต๋อฝูรีบวิ่งไปที่หน้าประตู จากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า "ยกเกี้ยวเสด็จ กลับวัง!"
เกี้ยวที่ประทับออกจากหอฉงฮวาในเวลารวดเร็ว ซูฉ่ายเวยยังคงนั่งอึ้งอยู่บนพื้นอย่างไม่เข้าใจ
เหตุใดฝ่าบาทจึงเสด็จกลับไปแล้วล่ะ?
จะต้องเป็นเพราะนางแต่งตัวไม่ดี ทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจเป็นแน่
แค่ส่งสายตา ชุ่ยจู๋ก็ไปหยิบไข่มุกทองคำมาให้เพื่อเป็นรางวัลทันที
ขันทีน้อยคนนั้นดีใจสุดขีด เขานั่งคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะเล่าในสิ่งที่รู้ไปอย่างละเอียด
เมื่อลู่จิ้งเสียนฟังแล้วก็แย้มรอยยิ้มขึ้น สีหน้าสดใสขึ้นอย่างชัดเจน
ขอเพียงไม่ร่วมเตียงกันก็พอ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทก็อาจจะแค่ว่าง ก็เลยออกไปเดินเล่น ก็เหมือนกับการที่พระองค์พระราชทานเนื้อสัตว์ให้ในคราวก่อนนั่นแหละ ก็คงจะแค่อารมณ์ดีพอดีก็เลยไป
เมื่อโบกมือไล่ให้ขันทีคนนั้นออกไปแล้ว ลู่จิ้งเสียนก็ถอดเครื่องประดับศีรษะออก
แล้วพูดออกมาอย่างมีแผนการว่า "พรุ่งนี้พวกเราก็ไปที่หอฉงฮวาสักหน่อยเถอะ ไปดูสักหน่อยว่าที่นั่นมีอะไรดี ถึงได้ดึงดูดฝ่าบาทเช่นนั้น"
เช้าวันถัดมา
แสงอาทิตย์สาดส่อง ทุ่งหน้าเขียวขจี
อินชิงเสวียนบิดขี้เกียจทีหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำข้างในมิติ แล้วก็ไปตักน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เพื่อทำอาหารให้ทุกคนแล้วไว้สำหรับชงนมให้เจ้าหมาน้อยด้วย
เมื่อนางออกมาอีกที ก็เห็นว่าเจ้าหมาน้อยกำลังนอนเล่นอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง เขายกแขนขาไปมาพร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้
อินชิงเสวียนย่อตัวลงนั่งที่ข้างเตียง เธอชูนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วจิ้มไปที่หน้าผากเล็กๆ นั่นหนึ่งที
"เมื่อวานเจ้าทำคนอื่นตกใจกันหมดเลยนะ"
คล้ายกับว่าเจ้าหมาน้อยจะรู้ว่าอินชิงเสวียนพูดถึงตัวเอง คิ้วเล็กๆ นั่นจึงขมวดมุ่นเข้าหากัน ปากก็เม้มแน่นใบหน้าบึ้งตึง นัยตามีน้ำใสๆ เอ่อคลอ แสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่พอใจ
อินชิงเสวียนมองเห็นเป็นเรื่องสนุก จึงได้เอานิ้วไปเขี่ยปากเล็กๆ ที่ยื่นออกมานั่น
"กล้าขมวดคิ้วใส่ข้าเหรอ ต่อให้เจ้าจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต แต่ข้าก็จะเป็นถึงพระพันปีของเจ้าเชียวนะ"
เจ้าหมาน้อยแบะปาก ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง
นอกวัง หวังต้าหวู่เหยียบบ่าของน้องชาย ก่อนจะปีนขึ้นมาบนประตูวังเพื่อแอบดู
ในขณะที่กำลังแอบส่องอยู่นั่นเอง ก็คล้ายกับว่าจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้อีกครั้ง ทำให้เขาถึงกับขาอ่อนแรงร่วงลงไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...