ณ ห้องหนังสือ
เย่จิ่งอวี้ยังไม่เลิกประชุมเช้า อินชิงเสวียนมองหาสถานที่ร่มรื่นในลาน แล้วนางก็ไปนั่งรออยู่ร่มไม้ ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่อินสิงอวิ๋นทำการลอบสังหาร
เขาคงไม่พอใจกับคำตัดสินของราชสำนัก จึงลงมือหลายครั้ง
ถ้าขืนปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอินจ้งอาจกลับมาเมืองหลวงไม่ได้ตลอดชีวิต
เมื่อใดที่ตัวตนของอินสิงอวิ๋นถูกเปิดเผย ไม่เพียงแต่ตระกูลอินทั้งหมดเท่านั้น แม้แต่ตัวเองก็ต้องถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย
ไม่ว่าเย่จิ่งอวี้จะเชื่อใจนางมากเพียงใด เขาก็คงทนไม่ได้กับเหตุการณ์นี้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ คิ้วของอินชิงเสวียนก็ขมวดขึ้นเป็นปมทันที
นางบอกอินสิงอวิ๋นหลายครั้งแล้ว เหตุใดเขาจึงไม่ฟัง
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม อินสิงอวิ๋นไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น ไยครั้งนี้จึง...
ทันใดนั้นจำได้ว่าสวีจือย่วนเคยกล่าวไว้ ตอนที่นางช่วยเหลืออินสิงอวิ๋นนั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเพราะเหตุนี้ถึงทำให้เขาคงไม่พอใจมาก
แต่จะว่าไปแล้ว แม้ว่าเมืองซุ่ยหานจะห่างไกล แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ ทำไมอยู่ดีๆ อินสิงอวิ๋นถึงต้องกลับมายังเมืองหลวงด้วย
วันนั้นเขาบอกว่าต้องการตามหาใครบางคน และต้องทำเรื่องบางอย่าง
อินชิงเสวียนก็ไม่ได้ถามรายละเอียด พอมาดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาต้องการทำคือการลอบสังหารเย่จิ่งอวี้
ทุกวันนี้แม้ว่าในเมืองหลวงจะมีเรื่องน้อยเรื่องใหญ่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่อำนาจฮ่องเต้ก็หาสั่นคลอนไม่
หากเย่จิ่งอวี้ตายไปง่ายเช่นนั้น เขาคงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นฮ่องเต้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาเก่งกาจทั้งด้านบุ๋นด้านบู๊ และมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม หากอินสิงอวิ๋นยังคงยืนกรานต่อไป เรือของตระกูลอินอาจจะล่มในแม่น้ำไม่ช้าก็เร็ว
ควรทำอย่างไรดี
เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิม อินชิงเสวียนจะบอกเรื่องนี้กับเย่จิ่งอวี้ไม่ได้ ตอนนี้นางต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าอินสิงอวิ๋นถูกจับกุมหรือไม่ จากนั้นหาโอกาสออกไปพบเขา แล้วบอกด้วยอารมณ์ ทำให้เข้าใจด้วยเหตุผล
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้แว่วเสียงฝีเท้า
เมื่ออินชิงเสวียนหันไปมอง ก็เห็นเกี้ยวพระที่นั่งมังกรหยุดที่หน้าประตูห้องหนังสือ
เย่จิ่งอวี้นั่งตระหง่านบนเกี้ยวพระที่นั่งมังกร ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ใบหน้าสลักเสลาเคร่งขรึม สีหน้าแววตาล้วนเผยให้เห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เหนือกว่า
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาทำไมรึ”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ท่าทางของเย่จิ่งอวี้ก็อ่อนลง แล้วรีบลงจากเกี้ยวพระที่นังมังกร
อินชิงเสวียนยอบกายคารวะ “หม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปประคองนางขึ้น ถามอ่อนโยนว่า “วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อินชิงเสวียนก้มหน้ากล่าวว่า “ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยเพคะ ดีขึ้นมากแล้ว”
เย่จิ่งอวี้จับมืออินชิงเสวียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้องสุภาพกับข้าถึงเพียงนี้ เจ้าห่างเหินเช่นนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกไม่คุ้นชิน ข้าชอบตอนที่ยังเป็นเสี่ยวเสวียนจื่อมากกว่า”
อินชิงเสวียนก็ไม่อยากพูดแบบนี้ ตัวเองก็รู้สึกเหนื่อยมากเช่นกัน จึงยืดตัวขึ้น แล้วถามขึ้นเร็วๆ “ถ้าฝ่าบาทตรัสมาเช่นนี้ งั้นหม่อมฉันก็ไม่สุภาพแล้ว หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อถามว่าคนชุดดำที่ถูกจับคืนวานเป็นใครกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงต้องการลอบสังหารหม่อมฉันกับท่านอ๋องด้วย”
เย่จิ่งอวี้ได้เข้าไปในห้องโถงกลาง
“ข้าก็ยังไม่รู้ เสด็จอาพาตัวพวกเขากลับจวนอ๋องแล้ว ถ้ารู้สาเหตุ เสด็จอาก็จะมาพบข้า”
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างได้
เย่จั้นประจำการอยู่ที่เมืองซุ่ยหาน ดังนั้นเขาย่อมรู้จักอินสิงอวิ๋นอยู่แล้ว ถ้าอินสิงอวิ๋นอยู่ในจวนอ๋องด้วย เขาก็จะจำได้ทันที ตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวันแล้ว ยังไม่มีข่าวใดๆ ก็หมายความอินสิงอวิ๋นหนีได้ทันจริงๆ
โชคดีที่อินสิงอวิ๋นเห็นนางเมื่อคืนนี้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดา
“คิดอะไรอยู่รึ”
เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากเหนือศีรษะ
หลังจากกินเสร็จ เดิมทีกำลังจะกล่อมเสี่ยวหนานเฟิงให้นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าตูดหมึกกลับไม่ยอมนอน มือเล็กๆ จับรถเข็นเด็กไว้แน่น แล้วผลักออกอย่างแรง
“ไป ไป~”
อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายน้อยอยากไปเที่ยวเตร่แล้ว ไม่อยากอยู่ในตำหนักอีกแม้เพียงอึดใจเดียวเพคะ”
ไป๋เสวี่ยก็กระโดดตัดหน้าตัดหลัง เห็นได้ชัดว่าต้องการเล่นข้างนอกเช่นกัน
อินชิงเสวียนก็กินอิ่มมากเหมือนกัน นางจึงพูดว่า “ในเมื่อเจ้าตูดหมึกไม่อยากนอน ก็พาเขาออกไปเดินเล่นกันเถอะ อยู่แต่ในตำหนักก็น่าเบื่อแย่”
อวิ๋นฉ่ายตอบรับ แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปในรถเข็นเด็ก
เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเสี่ยวหนานเฟิง อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องอันตรายเมื่อคืนนี้
นางเกือบจะไม่ได้เห็นเจ้าตูดหมึกน้อยแล้ว จนถึงตอนนี้ยังนึกหวาดกลัวอยู่เลย โชคดีที่คนปกป้องนางก็คือจิ้งอ๋องเย่จั้น และโชคดีที่นางยังมีพลังมิติให้ใช้อีกห้านาที มิฉะนั้นเมื่อวานนางคงถูกคนชุดดำฆ่าไปแล้ว
ดูเหมือนว่าต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ ถ้าช่วงนี้ไม่มีอะไรทำ ก็ควรหาโอกาสไปสำรวจในมิติ ดูว่าจะมีฟังก์ชั่นอื่นอีกหรือไม่
ขณะที่นางกำลังเหม่ออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะดังขึ้น
ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงดีดฉิน แต่เป็น...ขลุ่ยดินเผา!
อินชิงเสวียนประหลาดใจมาก
เพราะเครื่องดนตรีชนิดนี้เพิ่งจะมีแบบจำลองจริงๆ เมื่อปี 1960 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏในยุคนี้
เหตุผลที่อินชิงเสวียนรู้เรื่องนี้ ก็เพราะว่านางเป็นก็ชอบเล่นขลุ่ยดินเผานี้เช่นกัน
จำได้ว่าเคยได้ยินเพลง ‘ทัศนียภาพดั้งเดิมของบ้านเกิด’ ทางโทรทัศน์เมื่อหลายปีที่แล้ว แล้วก็รู้สึกตราตรึงใจมาก จึงไปหาเรียนการเป่าขลุ่ยดินเผานี้จากในอินเตอร์เน็ต
ตอนนี้กลับได้ยินเสียงเป่าขลุ่ยดินเผาในยุคนี้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจมาก
นางเดินตามเสียงนั้นไป และเห็นป้ายตำหนักฉู่เยว่ทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...