สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 275

ชายที่มีหนวดเครารีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดอย่างสั่นเทา “ข้าน้อยไม่เชื่อเรื่องนางมารร้ายอะไรนั่น คงเป็นฟางรั่วที่กลัวว่านายท่านจะพาแม่นางอินกลับไปที่เจียงวูด้วย จึงปล่อยตัวนางไป”

ฟางรั่วรู้สึกถึงความเค็มในปาก แล้วนางก็กระอักเลือดออกมาเต็ม

“เจ้าอย่าใส่ความข้านะ ข้าติดตามนายท่านมามากกว่าสิบปีแล้ว ข้าแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ตลอด”

อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา มองฟางรั่วด้วยแววตามืดมน ฟางรั่วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมของอาซือหลาน

“นายท่าน ฟางรั่วไม่เคยกล้ามีความคิดเช่นนี้เลย ฟางรั่วสามารถสาบานต่อสวรรค์ใช้ท่านพ่อท่านแม่เป็นเดิมพันได้เลย ว่าไม่มีทางปล่อยอินชิงเสวียนไปเด็ดขาด”

อา‍ซือ‍หลานถามเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าคนหายไปไหน”

ฟางรั่วส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ฟางรั่วไม่ทราบ นางปรากฏตัวที่โถงทางเดินแวบหนึ่ง แล้วก็หายตัวไปเลย”

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบงั้นรึ”

อาซือหลานยกเท้าขึ้นเตะฟางรั่วไปอีกด้าน แล้วพูดกับชายมีหนวดเครา “ทันทีที่มีการยกเลิกคำสั่งห้ามออกจากเมืองหลวง ให้ส่งนางกลับไปที่เจียงวูทันที”

ฟางรั่วอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำอีก “นายท่านถอนคำสั่งด้วย ฟางรั่วแค่อยากอยู่เคียงข้างท่าน”

อาซือหลานเลิกสนใจนาง แล้วพูดกับโยวหลาน “ใช้ตัวตนของเจ้าล่ออินชิงเสวียนออกมา ข้าต้องได้ตัวนาง!”

“เจ้าค่ะ”

โยวหลานเหลือบมองฟางรั่วอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วก็รีบจากไปทันที

อา‍ซือ‍หลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา และรีบออกไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ ข่าวที่ว่าฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว

กวนเมิ่งถิงยืนอยู่ในจวน มองไปยังรูปพยัคฆ์ลงเมฆาที่แขวนอยู่บนผนัง ประกายในแววตาไหววูบ

ผ่านไปสักพักเขาก็หันกลับมาถามว่า “อันผิงอ๋องกลับตำหนักแล้วรึ”

คนรับใช้พูดด้วยความเคารพ “ยังขอรับ เขาน่าจะยังอยู่ในวัง”

กวนเมิ่งถิงขมวดคิ้ว

“ไปสืบมาใหม่ ถ้าอันผิงอ๋องกลับจวนแล้ว ให้มารายงานข้าทันที”

ทางด้านเย่จิ่งเย่าที่ยังคงอยู่ในวังหลวง

ซึ่งอยู่ที่นี่จะสามารถสืบข่าวของเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้สะดวกที่สุด ยามนี้เย่‍จิ่ง‍อวี้สลบไสลไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เช้าเขาไม่ฟื้น อาจจะหมายความว่าสวรรคตแล้วจริงๆ

เมื่อคิดว่าตัวเองจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ในไม่ช้า เย่จิ่งเย่าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

เมื่อเห็นเขาเดินกลับกลับมาอยู่ในตำหนัก ไทเฮาก็ทนรำคาญไม่ได้

“เจ้าเด็กเปรตที่อยู่ในตำหนักจินหวูก็ยังไม่ได้จัดการ ทำไมเจ้าถึงตื่นเต้นขนาดนี้”

เมื่อครู่สวีจือย่วนได้มาแจ้งไทเฮาเรื่องที่ไป๋เสวี่ยเข้าไปอยู่ในตำหนักจินหวู ไทเฮากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด กำลังคิดว่าจะกำจัดเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนั้นได้อย่างไร

เย่จิ่งเย่าที่ซ่อนตัวอยู่ฉากกั้นลม จึงได้ยินคำพูดของสวีจือย่วนอยู่แล้ว

เขาเดินเข้าไปหาไทเฮา บีบไหล่ของนางพลางพูดว่า “ก็แค่สัตว์ที่พูดไม่ได้ เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องเป็นกังวลด้วย แค่พวกเราส่งนักธนูออกไปยิงมันก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ยากนักที่เย่จิ่งเย่าจะมีความกตัญญูเช่นนี้ ไทเฮาจึงรู้สึกสบายใจเล็กน้อย

นางวางถ้วยชาในมือลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตำหนักจินหวูมีทหารรักษาพระองค์คอยอารักขาอยู่ เว้นแต่เย่‍จิ่ง‍อวี้จะบัญชาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ถอนกำลังออก แม้ว่าเราจะส่งนักธนูออกไป แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นหูตาของทหารรักษาพระองค์ได้”

เย่จิ่งเย่าขิ๊ปากอย่างจนปัญญา แล้วถามว่า “แล้วไม่มีทางอื่นอีกหรือ”

ไทเฮาก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา

“เจ้าหมาบ้านั่นกลัวคนแปลกหน้ามาก มันจะไม่กินของที่คนอื่นให้ เรื่องนี้จัดการได้ยากจริงๆ”

หลังจากถอนหายใจอย่างเงียบๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงขึ้นมาอีก

ชั่วพริบตา ก็ไม่ได้เจอเจ้าเด็กน้อยมาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะโตขึ้นเท่าไหร่แล้ว คำที่พูดได้ เพิ่มขึ้นอีกหลายคำแล้วหรือไม่

แม้ว่านางจะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง แต่หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานกว่าสี่เดือน อินชิงเสวียนก็ได้พัฒนาความรักระหว่างแม่ลูกต่อเด็กคนนี้แล้ว ความโหยหาชนิดนั้นทำให้รู้สึกเสียดแทงหัวใจ เฉกเช่นความรู้สึกที่มีต่อลูกแท้ๆ ของตนไม่มีผิดเพี้ยน

เมื่อนึกถึงท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าเด็กน้อย อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง

ทันใดนั้น นางก็จำได้ว่านางได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในตำหนักจินหวู แม้ว่านางจะย้อนกลับไปไม่ได้ แต่นางก็สามารถเห็นเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงผ่านกล้องวงจรปิดได้

อินชิงเสวียนออกมาที่ห้องโถงด้านนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีใครสังเกต นางก็เข้าไปในมิติทันที

โทรศัพท์มือถือสับปะรดยังวางอยู่ในมิติ ซึ่งแบตเต็มด้วยแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์

เมื่อเปิดหน้าจอก็เห็นรูปถ่ายของครอบครัวสามคนได้ทันที

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ดวงตาของอินชิงเสวียนก็สลัวลงทันที

นางฝืนทำตัวให้สดชื่น ปิดเสียงเพลงทั้งหมด แล้วเปิดหน้าจอภาพกล้องวงจรปิด แล้วก็เห็นเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงนอนหลับอยู่ในห้องโถงด้านใน

เขาสวมชุดเอี๊ยมเด็กสีแดง บิดเอี้ยวร่างเล็กๆ ที่อ้วนจ้ำม่ำ หันส่วนบั้นท้ายกลมๆ ให้อินชิงเสวียนดู

หลังจากเปลี่ยนทิศทาง อินชิงเสวียนก็เห็นใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงดูเหมือนจะอ้วนกว่าตอนที่นางจากไปเล็กน้อย เนื้อที่แก้มวางแหมะบนหมอนรูปทรงเสือน้อย ปากน้อยๆ กำลังกัดแทะมือป้อมๆ ของตัวเอง กำปั้นเกือบจะยัดเข้าไปในปาก บางครั้งปากเล็กๆ ก็ทำท่าดูด ราวกับว่าลิ้มลองรสมืออันอ้วนพีของตัวเองอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นท่าทางนี้ของเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง อินชิงเสวียนก็ยิ้มอย่างเงียบๆ

เป็นเด็กนี่ดีจังเลย ไร้ความทุกข์ความกังวล ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พอนึกถึงพ่อของเขาที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ในชั่วพริบตา ทันใดนั้นก็เห็นเงาสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกส่วน ร่างสองร่างในชุดพรางตัวได้กระโดดขึ้นไปบนห้องโถงกลาง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์