สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 289

ความเป็นห่วงเป็นใยในแววตาของอินชิงเสวียน ทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้รู้สึกอบอุ่นในใจ

เขาถามหยั่งเชิง “เจ้ากำลังปวดใจเพราะอยู่ข้ารึ”

อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา

“ฝ่าบาทถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบนี่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยกมุมปากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงยานคางว่า “ได้ ข้าจะทำตามเจ้า”

เขาหันกลับมา แล้วพูดกับคนที่อยู่นอกประตู “หลี่เต๋อฝู ไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักจินหวู ให้จ้าวเอ๋อร์มาหาข้าที่ตำหนักเฉิงเทียน”

“น้อมรับพระบัญชา”

หลี่เต๋อฝูตอบรับ แล้ววิ่งนำขบวนออกไปทันที

อินชิงเสวียนช่วยประคองเย่‍จิ่ง‍อวี้ให้นั่งบนเตียง วางหมอนนุ่มๆ ด้านหลังให้เขาพิง

ในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู และมีคนตะโกนเสียงดัง “ไทเฮาเสด็จ”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วทันที ยายแม่มดเฒ่าคนนี้มาทำอะไรที่นี่

ใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

เขาตบหลังมือของอินชิงเสวียนเบาๆ ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่”

ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูห้องโถงด้านนอกก็เปิดออก

เสียงฝีเท้าเริ่มดังเข้ามาใกล้ แล้วก็เห็นไทเฮาเดินนำชุยไห่เข้ามาในห้องโถงด้านใน

“ฮ่องเต้ สองวันที่ผ่านมาอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ นางก็เหลือบไปเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างเตียง รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งทื่อ

อินชิงเสวียนยอบตัวคำนับ พูดแผ่วเบา “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”

ในเมื่ออยู่ในวัง จะขาดมารยาทไปไม่ได้

ทว่าไทเฮาก็จ้องมองนางอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าถูกลักพาตัวมิใช่หรือ เจ้ากลับวังเมื่อใด ข้าได้ยินว่าบาดแผลของฮ่องเต้เป็นฝีมือเจ้า กล้าดีอย่างไรถึงกลับมา”

อินชิงเสวียนยืนขึ้น พูดอย่างสงบ “หม่อมฉันเพียงแต่ออกไปทำธุระนอกวังเท่านั้น จะถูกลักพาตัวไปได้อย่างไร หากอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทเกิดจากฝีมือของหม่อมฉันจริง หม่อมฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้า และกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้น”

ไทเฮาทรงยิ้มเยาะ

“เมื่อไม่กี่วันก่อนฮ่องเต้ได้ระดมกำลังตามหาคนไปทั่ว วันนี้กลับเปลี่ยนคำพูด ไม่คิดว่าขัดแย้งกันหรอกหรือ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “นั่นเป็นเพียงวิธีการของข้าที่ทำให้ศัตรูประมาท ถ้าข้าไม่ทำให้ดูจริงจัง จะทำให้คนเชื่อได้อย่างไร”

ไทเฮาพูดอย่างเย็นชาว่า “คำพูดนี้ยิ่งน่าขันสิ้นดี ฮ่องเต้พยายามต่อกรกับใคร ถึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ฮ่องเต้เป็นถึงกษัตริย์ผู้ครองแคว้น หากมีอะไรผิดพลาด รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าทำงานก็มีวิจารณญาณส่วนตัวอยู่แล้ว เรื่องในราชสำนัก ไทเฮาไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ”

มุมปากของไทเฮากระตุกแล้วพูดว่า “เหยาเฟยออกไปทำธุระอะไรข้างนอกกันแน่ หรือว่าแคว้นต้าโจวเราไม่มีใครแล้ว ถึงให้สนมออกหน้าไปทำธุระ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ฮ่องเต้ไม่ต้องกลัวคำครหาหรือ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างเย็นชา “มีบางเรื่องที่ต้องให้เสวียน‍เอ๋อร์เป็นคนทำเท่านั้น ตราบใดที่สิ่งที่นางทำเป็นประโยชน์ต่อต้าโจวและราษฎร ข้ายังต้องกลัวคำครหาใดอีก”

พอไทเฮาอ้าปากก็ถูกตอกกลับ จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียหน้า ตวาดลั่น “ฮ่องเต้...”

อินชิงเสวียนขัดจังหวะนางอย่างไม่เกรงใจ

“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ ไทเฮามาตะโกนต่อว่าต่อขานที่นี่โดยไม่คำนึงถึงพระวรกายของฝ่าบาท เพียงเพราะฝ่าบาทไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ของไทเฮา ไทเฮาจึงไม่สนใจไยดีกระนั้นหรือ”

“เจ้า...บังอาจ”

ไทเฮาเกรี้ยวกราด เงื้อมือขึ้นหมายจะตบหน้าอินชิงเสวียน

ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้าข้อมือของไทเฮา และผลักนางออกไปด้วยแรงเล็กน้อย

เย่‍จิ่ง‍อวี้มาลงมาจากเตียงแล้ว พูดด้วยสายตาเย็นชา “ไทเฮาชักจะไปกันใหญ่แล้ว สนมของข้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสั่งสอน”

ไทเฮาโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว มองดูทั้งสองอย่างเกลียดชัง

“เย่‍จิ่ง‍อวี้ เจ้าปกป้องนางตลอดชีวิตให้ดีเถอะ ชุยไห่ พวกเราไปกันเถอะ!”

เมื่อคืนไทเฮาทราบว่าเย่จิ่งเย่าพ่ายแพ้ราบคาบ จำใจต้องกลับจวนอ๋อง

นางยังรู้ด้วยว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้เชื่อใจเย่จั้นมากกว่าที่จะไว้ใจเย่าเอ๋อร์ของนาง

อีกไม่นาน เมืองซุ่ยหานก็จะเกิดความวุ่นวาย เย่จั้นจะต้องร้อนใจอยากกลับเมืองหลวงแน่นอน

นางคิดจะใช้โอกาสนี้แสดงความเมตตาต่อเย่จิ่งอวี้ก่อน จากนั้นจึงค่อยขอร้องให้เขายอมให้เย่จิ่งเย่ากลับราชสำนัก แต่ไม่คิดว่านางยังไม่ทันเอ่ยปากด้วยซ้ำ ก็ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก

ยิ่งไทเฮาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แทบอยากจะฉีกอินชิงเสวียนออกเป็นชิ้นๆ เพื่อบรรเทาความเกลียดชัง

นางเดินออกจากตำหนักเฉิงเทียนด้วยใบหน้ามืดมน และบังเอิญเห็นยายหลี่เข็นเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเข้ามา นัยน์ตาฉายแววโหดเหี้ยม

หากพวกเขาไม่ยอมให้ลูกชายของนางอยู่สบาย เช่นนั้นลูกชายของพวกเขาก็อย่าได้อยู่อย่างสบายเลย

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงปีนขึ้นไปจากเตียง เขาจ้องมองเย่‍จิ่ง‍อวี้ด้วยดวงตากลมโตสีดำ แล้วพูดอย่างชัดเจน “คำพูด”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะรักษาคำพูดอย่างแน่นอน”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงไม่ค่อยเข้าใจว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้หมายถึงอะไร แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้า เขาก็คว้าผมที่คลอเคลียอยู่บนไหล่แล้วปีนขึ้นไปบนขาของเย่‍จิ่ง‍อวี้

อินชิงเสวียนรีบไปจับตัวเด็กซนไว้

พูดด้วยความโกรธ “เสด็จพ่อของเจ้าได้รับบาดเจ็บ อย่าแตะต้องเขา”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองที่อินชิงเสวียน จากนั้นเหยียดนิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่เย่‍จิ่ง‍อวี้แล้วพูดหนึ่งคำ

“เขา”

เย่‍จิ่ง‍อวี้แก้ไข “ไม่ใช่เขา เรียกเสด็จพ่อ”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจ้องมองเขาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู แล้วพูดด้วยความพยายามอย่างยิ่ง “เด็จอ้อ!”

พวกเขาทั้งสองรู้สึกขบขันกับท่าทางน่าเอ็นดูของลูกทันที

ในขณะที่ครอบครัวกำลังสนุกสนานมีความสุข ทางด้านอาซือหลานก็ยืนอยู่ในอุโมงค์ใต้เรือนซุ่ยหง ด้วยสีหน้ามืดมน

เมื่อเห็นหน้ากากผิวหนังมนุษย์ครึ่งหน้า เขาก็ด่าทอน้ำเสียงเย็นชา “ขยะ หน้ากากผิวหนังมนุษย์อันล้ำค่าชิ้นนี้ กลับถูกเจ้าทำเสียหาย”

โยวหลานคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก

“นายท่านโปรดอภัยด้วย”

หวังซุ่นที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าน้อยสามารถซ่อมแซมได้ แม้ว่าจะสร้างใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังเรือนร่างส่วนโค้งเว้าของโยวหลาน โดยไม่ปกปิดความหื่นกระหายในแววตา

อา‍ซือ‍หลานเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าชอบโยวหลาน ข้าจะให้รางวัลเจ้าหนึ่งคืน”

อาซือหลานหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “เจ้ารีบสร้างหน้ากากของชิงเสวียนขึ้นมาใหม่โดยเร็ว นอกจากนี้ ข้ายังต้องการหน้าของบุคคลอื่นด้วย”

หวังซุ่นเผยสีหน้ามีความสุข และคุกเข่าลงทันที

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยท่านอ๋อง! ไม่ทราบว่าท่านอ๋องต้องการใบหน้าของใคร”

เมื่อนึกถึงกวนเซี่ยวที่มาเรือนจุ้ยหงเพื่อตามหาเขาเมื่อวานนี้ อาซือหลานก็กระตุกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ

“หลานชายคนโตของกวนฮั่นหลิน!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์