สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 319

อินชิงเสวียนได้กลับเข้ามาในเรือนแล้ว กำลังจะขึ้นไปที่ศาลา แต่กลับเห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้ที่มือซ้ายอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง ส่วนมือขวาก็ประคองสวีจือย่วน และสวีจือย่วนก็ซบอยู่บนตักของเขาพอดี

เพลิงโทสะในใจพลันลุกโชน บุรุษไม่มีคนดีเลยจริงๆ

โดยเฉพาะฮ่องเต้!

นางมาที่ห้องครัวเล็กด้วยสีหน้าโกรธเคือง บอกอวิ๋นฉ่ายที่กำลังผสมไส้ว่า “ไม่ต้องนึ่งซาลาเปาแล้วล่ะ ฝ่าบาทบอกว่าไม่กินแล้ว”

อวิ๋นฉ่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อ้าว? แล้วจะทำอาหารอะไรดีเพคะ”

“ไม่ต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยกินอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นส่งมาก็ได้”

อินชิงเสวียนกลับไปที่ห้องโถงด้านใน และหายตัวเข้าไปในมิติ

พอดีกับพืชผลในมิติที่กำลังสุกงอม นางจึงถือโอกาสเก็บเกี่ยวไว้ด้วยเลย

จากนั้นก็ปลูกพืชอีกครั้ง แต่ในใจยังรู้สึกไม่มีความสุข

ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางคิดเมื่อก่อนนั้นถูกต้อง จะชอบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮ่องเต้

เย่‍จิ่ง‍อวี้มีสตรีชอบด้วยกฎหมายมากมาย แต่นางมีเพียงเขาเท่านั้น นี่ไม่ยุติธรรมเลย

เดิมทีอินชิงเสวียนได้ตกลงปลงใจไว้แล้ว คิดไว้ว่าจะรอให้อินจ้งกลับมาก่อน แล้วนางค่อยเพลิดเพลินไปกับชีวิตรักในยุคโบราณ

ทว่าตอนนี้นางหมดอารมณ์แล้ว

ให้ตายเถอะ นางรู้สึกกระวนกระวายใจจนแทบอยากจะอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงออกจากวัง ดูสิว่าคราวนี้ใครจะมาหยุดนางได้

อินชิงเสวียนดึงกลีบดอกไม้เพื่อระบายโทสะ มองดอกไม้เป็นเย่‍จิ่ง‍อวี้ ทันทีที่ดึงออกกลีบหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบทันที

“ทำลายดอกไม้ใบหญ้าในมิติตามอำเภอใจ ถูกหัก 1,000 คะแนน”

“ฮะ?”

เสียงระบบในมิติดังซ้ำอีกครั้ง

“ทำลายดอกไม้ใบหญ้าในมิติตามอำเภอใจ ถูกหัก 1,000 คะแนน”

อินชิงเสวียนตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วรีบเก็บดอกไม้กลับคืนทันที

นางดิ้นรนมาตั้งนาน กว่าจะได้คะแนนมากขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ถูกหักไปถึง 1,000 คะแนนในคราวเดียว มิติไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ดอกไม้ถูกดึงออกมาแล้ว ไม่สามารถเติบโตได้อีก พอปล่อยจากมือก็ร่วงลงพื้นเสียงดังทันที

เสียงแจ้งเตือนจากระบบในมิติดังขึ้นอีกครั้ง

“ทำลายทุ่งนาตามอำเภอใจ ถูกหัก 1,000 คะแนน “

“บ้านเตี่ยแกสิ!”

อินชิงเสวียนรีบเก็บดอกไม้ออกมาโดยเร็ว และเปิดจอแสดงผลในมิติ ซึ่งคะแนนได้หายไป 2,000 คะแนนจริงๆ เมื่อบวกลบกันทั้งหมดแล้ว ตอนนี้นางยังมีคะแนนอยู่ 9,600 คะแนน

อินชิงเสวียนอยากด่าบุพการีของมันจริงๆ เจ้านี่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

นางเด็ดดอกไม้ออกมาเป็นความผิดของนางก็จริง แต่แค่ดอกไม้หล่นลงไปในทุ่งนาก็ถูกหักคะแนน จะไม่ไร้มาตรฐานเกินไปหน่อยหรือ

เดิมทีก็รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยิ่งรู้สึกหดหู่มากกว่าเดิมอีก

นางโยนดอกไม้ที่ตายแล้วลงในถังขยะรีไซเคิลอัตโนมัติ จากนั้นก็เดินมาที่ขอบทุ่งนางอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่ามีพวกแมลงอะไรหรือไม่ นางจะได้ช่วยกำจัดแมลงไปด้วย แต่หาไปสักพักนางก็ผิดหวัง เพราะไม่มีแมลงแม้แต่ตัวเดียว

ถึงอย่างไรคะแนนก็ไม่ถึง 10,000 คะแนนอยู่ดี อินชิงเสวียนจึงทุบกระปุกของตัวเองไปเสียดื้อๆ นำคะแนนไปแลกซื้อหม้อไฟ ซื้อเนื้อแพะและลูกชิ้นชนิดต่างๆ แล้วจัดแจงปรุงอาหารอยู่ข้างๆ บ่อน้ำพุวิญญาณเลย

แม้ว่าจะไม่ทำอาหาร แต่ห้องพระเครื่องต้นก็ต้องส่งอาหารมาอยู่ดี อินชิงเสวียนจึงไม่กังวลว่าพวกเขาจะโหยหิวเลย มาอยู่นานขนาดนี้แล้ว นางก็เริ่มคิดถึงอาหารสมัยใหม่เหล่านี้ด้วย จึงกินอย่างอิ่มหมีพีมันไปเลยทีเดียว

หลังจากกินดื่มอย่างอิ่มหนำดีแล้ว อินชิงเสวียนก็ตบท้องด้วยท่าทางพึงพอใจ จากนั้นนอนลงบนพื้นหญ้าและมองดูท้องฟ้าสีคราม

ท้องฟ้าในมิติแทบไม่ต่างจากท้องฟ้าภายนอก เป็นสีฟ้าครามเช่นกัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือในนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ ดังนั้นจึงไม่มีแสงอาทิตย์จึงไม่ทำให้ตาพร่ามัวเลย

อินชิงเสวียนก็ไม่รู้ว่าพืชสังเคราะห์แสงได้อย่างไร และไม่รู้ว่ามิติรักษาอุณหภูมิที่พอเหมาะแบบนี้ไว้ได้อย่างไร สรุปแล้วก็คือ สถานที่มหัศจรรย์แห่งนี้ ไม่สามารถวิเคราะห์จากดวงตาธรรมดาทั่วไปได้

สายลมพัดมาเอื่อยๆ อินชิงเสวียนก็ไม่วายรู้สึกง่วง นางผล็อยหลับไปในชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่านาฬิกาเรือนใหญ่ด้านนอกร้านค้ามิติชี้ไปที่เลขเก้า

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนกันแน่

เพราะในมิตินั้นสว่างอยู่เสมอ อินชิงเสวียนจึงไม่สามารถแยกแยะได้ ดังนั้นจึงใช้ 5 คะแนนเพื่อแลกกับฟังก์ชันการสำรวจของมิติ

วินาทีต่อมา ภาพขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมิติ และอินชิงเสวียนก็มองเห็นภาพภายในตำหนัก

“บังอาจ!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตะโกนเสียงก้อง

เรียวตาหงส์เย็นชา คล้ายจะมีเปลวไฟลุกโชนในแววตา

กรอบหน้าคมชัดขึ้นดุดันในทันที พลังรัศมีรอบตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เมื่อครู่เดิมทีต้องการให้สวีจือย่วนออกจากวัง แต่นางกลับบอกว่าจะเอาหัวโขกโต๊ะหินฆ่าตัวตาย

เย่‍จิ่ง‍อวี้ย่อมไม่ยอมให้ผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของเขาตายไปทั้งอย่างนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปหยุดนางไว้

ต่อมาก็นั่งรอสักพัก แต่ซาลาเปาก็ไม่มาเสียมี เมื่อเขาไปสอบถามจึงรู้ว่าอินชิงเสวียนบอกอวิ๋นฉ่าย ว่าไม่ต้องทำซาลาเปาแล้ว

เย่‍จิ่ง‍อวี้จึงรู้ทันทีว่าอินชิงเสวียนต้องเข้าใจอะไรบางอย่างผิด ดังนั้นเขาจึงรีบไล่สวีจือย่วนกลับ แล้วรีบเข้ามาตามหาคนในตำหนัก

แต่ชายแปลกหน้าผู้นี้ก็ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ บุกเข้ามาในตำหนักโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ในชั่วพริบตา ชายคนนั้นก็ก้าวเท้าแปลกๆ และทะยานมาถึงข้างเตียงแล้ว

เขายกผ้าห่มขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจ

กลิ่นอายของแม่นางน้อยอยู่ที่นี่ชัดๆ ทำไมถึงไม่มีคน

อินชิงเสวียนผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมิตินั้นยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่า

ดูเหมือนว่าเขามาที่นี่เพื่อตามหาตัวเอง แต่ตัวเองก็ไม่รู้จักคนประหลาดเช่นนี้มาก่อน

เขามาจากไหนกันแน่

ครั้นค้นหาความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่ถ่ายทอดไว้ ก็ไม่ปรากฏว่ามีคนเช่นนี้มาก่อน น่าแปลกจริงๆ

ในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังขบคิดอยู่นั้น เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็กระโดดเตะข้างหลังของชายคนนั้น

ชายคนนั้นดูหงุดหงิดเล็กน้อย ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เขาหันขวับ

พูดเน้นทีละคำ “รนหาที่ตายงั้นรึ”

ยังพูดไม่ทันขาดคำ มือเรียวยื่นออกมาจากแขนเสื้อกว้าง และกดไปยังท่อนอกของเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์