สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 320

ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมา และพาเย่‍จิ่ง‍อวี้ออกจากระยะฝ่ามือของชายคนนั้น

ฝ่ามือของชายคนนั้นพลาด เขาก็หันฝ่ามือขึ้น แล้วสะบัดใส่ผู้มาเยือนด้วยความเร็วปานอสุนีบาต

มีเสียงปังดังสนั่น แล้วร่างทั้งคู่ก็แยกออกจากกัน

เย่‍จิ่ง‍อวี้อุทาน “เสวียน‍เอ๋อร์”

ซึ่งผู้ที่ดึงเย่‍จิ่ง‍อวี้ออกไป ก็คืออินชิงเสวียนนั่นเอง

นางรู้จักกับเย่‍จิ่ง‍อวี้มานาน ถึงจะในฐานะเพื่อน นางก็ไม่อาจเห็นเขาได้รับบาดเจ็บได้ อีกทั้งตัวเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อเห็นชายผมขาวกำลังจะลงมือ นางก็แลกความเร็วและพลังของมิติ เพื่อสู้ฝ่ามือกับชายผมขาวผู้นั้นทันที

เมื่อฝ่ามือนั้นพุ่งออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานและเลือดในอกที่กำลังปั่นป่วน กลิ่นเค็มคาวเลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอ ยากที่จะระงับไว้ได้ นางจึงกระอักเลือดออกมาเต็มคำ

ชายคนนั้นหยุดฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่จ้องมองอินชิงเสวียนด้วยแววตาลึกล้ำ

ตอนแรกดวงตาที่สงบคู่นั้น คล้ายจะเกิดคลื่นขนาดใหญ่ และค่อยๆ บ้าคลั่ง

“ดีมาก ถ้าเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องดีใจมากที่ได้พบเจ้าอย่างแน่นอน”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยืนขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้

ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร แล้วเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์เป็นใคร”

“หุบปาก เจ้าไม่สมควรเอ่ยชื่อนาง”

หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปทางอินชิงเสวียน

“ศิษย์คนดี ตามข้ามา”

“บังอาจ นางเป็นสนมของข้า จะปล่อยให้เจ้าพานางไปได้อย่างไร!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้วางมือซ้ายบนหน้าอก พลังงานที่มองไม่เห็นรวบรวมอยู่ในฝ่ามือ เรียวตาหงส์คู่นั้นคมกริบราวกับคมดาบ

วันนี้แม้ว่าต้องเสี่ยงชีวิต ถึงอย่างไรก็ต้องปกป้องอินชิงเสวียนให้จงได้

ในเวลานี้ จู่ๆ แสงด้านนอกหน้าต่างก็หรี่ลง และจันทรุปราคาก็ปรากฏขึ้น

ชายคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย จ้องออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “เกิดปรากฏการณ์สุนัขสวรรค์กินจันทร์เสียอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ เสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ของข้า!”

เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ ตะโกนสองสามประโยค แล้วรีบวิ่งออกไปราวกับคนบ้าคลั่ง

ในเวลาเดียวกัน เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะ สะดุดล้มทันที

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”

อินชิงเสวียนรีบเข้ามาช่วยประคองเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างลนลาน

“ข้า...ปวดหัวนิดหน่อย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้เค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก หางตาก็กระตุกด้วยความเจ็บปวด

เหมือนมีมีบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว คล้ายสิ่งที่ถูกลืมไป ชิ้นส่วนของความทรงจำปรกกฎขาดๆ หายๆ ไม่หยุด แต่ไม่สามารถปะติดปะต่อเข้าด้วยกันได้ สมองของเย่‍จิ่ง‍อวี้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ราวกับว่าถูกเข็มเงินนับพันแทงทั่วทั้งร่างกาย เขาเจ็บปวดจนสั่นไปทั่วสรรพางค์กาย

เมื่อเห็นเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเย่‍จิ่ง‍อวี้ อินชิงเสวียนก็รีบให้เขานั่งบนเก้าอี้ พลางลูบหลังให้อย่างเบามือ หวังว่าการทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้

หลังจากไปประมาณสามสิบนาที เสียงหายใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็สงบลงในที่สุด

อินชิงเสวียนที่เห็นอาการของเขาก็ตกใจจนหน้าซีด

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กำลังจะพูด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนอยู่ข้างนอก “พวกท่านเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาท พระสนมเหยาเฟย?”

นั่นคือเสียงของฉินเทียนทหารรักษาพระองค์ ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังขึ้น และประตูตำหนักก็ถูกผลักเปิดออก

เมื่อเห็นคราบเลือดบนร่างกายของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ฉินเทียนก็ตกใจ

“ฝ่าบาท...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออก

“ข้าไม่เป็นไร ทุกคนออกไปก่อน”

“ท่านกับพระสนมเหยาเฟย...”

เมื่อเห็นว่ามีคราบเลือดบนเสื้อผ้าของอินชิงเสวียน และมีผู้คนล้มระเนระนาดอยู่เต็มเรือน สีหน้าของฉินเทียนพลันเปลี่ยนไป

อินชิงเสวียนรู้สึกฟุ้งซ่าน จู่ๆ อาการที่เกิดขึ้นภายหลังได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของนางอ่อนแรงลง เกือบจะร่วงลงพื้น

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยื่นมือออกไปจับอินชิงเสวียนไว้ ถามโดยฉับพลัน “เสวียน‍เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”

อินชิงเสวียนฝืนยืนนิ่ง มองไปยังหน้าอกของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ที่ราวกับมีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่กำลังเบ่งบาน นางพูดอย่างอ่อนแรง “ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงหม่อมฉันเพคะ แผลของท่านปริอีกแล้ว”

“ข้าไม่เป็นไร”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยืนขึ้น ประคองอินชิงเสวียนขึ้นไปที่เตียง ยื่นมือออกตรวจชีพจรของนาง เมื่อเห็นว่าเลือดลมของนางไม่มีความผิดปกติ เขาจึงวางใจ

ในตอนนี้เอง มีทหารรักษาพระองค์อีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอก

“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมมาอารักขา...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดขัดจังหวะทหารรักษาพระองค์ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ออกไปกันเถอะ ฉินเทียน เจ้าไปตามหมอหลวงเหลียงมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินเทียนโค้งคำนับแล้วถอยออกไป อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อที่ถูกจี้สกัดจุดสลบก็ตื่นขึ้นในเวลานี้ เมื่อได้ยินว่าไปตามหมอหลวง ทั้งคู่ก็วิ่งเข้ามา

“ฝ่าบาท พระสนม!”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเหล่าเจ้านายดูไม่สู้ดีนัก ทั้งสองคนก็เริ่มวิตกกังวลทันที

อินชิงเสวียนรู้สึกหมดแรงเท่านั้น ไม่มีอาการอื่นใด

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนห่วงใยตัวเองมากเพียงนี้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ

เขาคลี่ยิ้มละไมพูดว่า “เสวียน‍เอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร”

หมอหลวงเหลียงได้ถอดเสื้อคลุมของเย่‍จิ่ง‍อวี้แล้ว ผ้าสีขาวบนหน้าอกของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงจากเลือด อินชิงเสวียนรีบหันหน้าไปอีกด้านทันที

แม้ว่านางจะได้เข้าร่วมการผ่าตัดใหญ่มาสองครั้ง แต่นางก็ยังไม่สามารถเอาชนะโรคกลัวเลือดได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเลือดของคนที่นางชอบ แค่มองก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว

ทว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้กลับมีสีหน้าสงบ ปล่อยให้หมอหลวงเหลียงถอดผ้าขาวออกง่ายๆ

เมื่อเห็นรอยเย็บบนหน้าอกของเย่‍จิ่ง‍อวี้ หมอหลวงเหลียงก็ตกตะลึง

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถรักษาบาดแผลได้ด้วยวิธีนี้ พอเห็นเช่นนี้แล้วก็ทำให้เขาเพิ่มพูนความรู้ขึ้น

หลังจากการผ่าตัดของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ก็เป็นหลี่เต๋อฝูที่เปลี่ยนยาให้เขา นี่เป็นครั้งแรกที่หมอหลวงเหลียงได้เห็น เขาอดไม่ได้ที่จะเช็ดเลือดไปพร้อมกับตรวจสอบวิธีการลงฝีเข็มอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงใช้ยาจินชวงทาแผลให้แก่ฝ่าบาทอีกครั้ง

เมื่อมองดูผ้าขาวเปื้อนเลือดที่ถูกโยนลงบนพื้น หัวใจของอินชิงเสวียนก็เต้นรัว

ตอนนี้ต้องทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้หายโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้คนประหลาดคนนั้นมาจับตัวเองอีก

หากเย่จิ่งอวี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกัน ก็น่าจะสามารถต้านเขาไว้ได้

เมื่อนึกถึงคนประหลาดผมขาวคนนั้น หัวใจที่เพิ่งสงบของอินชิงเสวียนก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

หากเขาสามารถเข้าวังได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง ชีวิตของนางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลาหรอกหรือ

แต่พอมาลองนึกดูอีกที เขาเรียกตัวเองว่าศิษย์ คงจะไม่มาทำร้ายตัวเองกระมัง

ช่างเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรักษาเย่‍จิ่ง‍อวี้ให้หายก่อน

นางประคองตัวเองขึ้นจากเตียง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ถามทันทีว่า “เสวียน‍เอ๋อร์ เจ้าจะไปไหน”

“หม่อมฉันจะไปเอาน้ำมาชงชงชาให้ฝ่าบาทเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่กระหาย เจ้าอย่าเพิ่งออกไปเลย”

“ไม่เป็นไรเพคะ เหล่าทหารรักษาพระองค์อยู่ข้างนอก”

อินชิงเสวียนพูดแล้วก็ออกมาที่ห้องโถงด้านนอก

เทน้ำพุวิญญาณลงในถังไม้ จากนั้นก็เติมใส่กาน้ำด้วย

หมอหลวงเหลียงพันแผลเสร็จแล้ว เขาเก็บผ้าขาวเปื้อนเลือดขึ้น โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดอย่าใช้พลังยุทธ์อีก ถ้าแผลปริหลายครั้ง เกรงว่าจะไม่หายง่ายๆ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้า

“ข้ารู้แล้ว จอมพลเฒ่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหลวงเหลียงก้มลงตอบอย่างนอบน้อม “ตอนนี้จอมพลเฒ่าตื่นแล้ว เพิ่งกินข้าวต้มไปชามหนึ่ง มีกำลังวังชาไม่เลวเลย เชื่อว่าอีกไม่กี่วันคงมีพลังเต็มเปี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์