สวีจือย่วนคุกเข่าลง และโขกศีรษะคำนับ
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เย่จิ่งอวี้ก็เดินออกไปแล้ว
หานปิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ช่วยพยุงสวีจือย่วนลุกขึ้น
“นายหญฺง นายท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว”
แววตาของสวีจือย่วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นกัน
“ใช่แล้ว ตราบใดที่พยายามมากพอ ย่อมได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอ”
หานปิงพยักหน้าอย่างแรง
“หากนายหญิงได้รับการอวยยศบ้างก็คงจะดีไม่น้อย แม้จะเป็นสนมขั้นผินก็ยังดี”
ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากใครบางคน
“เป็นแค่หญิงงาม ยังกล้าฝันอยากเป็นผิน”
คนผู้หนึ่งที่มีนางกำนัลสองคนช่วยประคอง ได้เดินออกจากสวนข้างๆ ซึ่งก็เป็นลู่จิ้งเสียนที่นางไม่ได้เจอหน้ามานานแล้ว
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย จึงอยากมาเข้าเฝ้าไทเฮา แต่เมื่อออกจากตำหนักก็บังเอิญเห็นสวีจือย่วน จึงเดินลัดเลาะสวนติดตามนางมา
เมื่อไม่กี่วันก่อน นางได้รับการสั่งสอนจากอินชิงเสวียน นางยังเก็บงำความแค้นไว้ในใจเสมอมา นางไม่สามารถเอาชนะอินชิงเสวียนได้ แต่ถ้ามาหาเรื่องนายหญิงคนหนึ่ง ย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน
เมื่อครู่ก็เพิ่งได้เห็นอินชิงเสวียนกับสวีจือย่วนคล้ายจะมีปากเสียงกัน นางก็อดคิดไม่ได้ว่าสวรรค์กำลังช่วยเหลือนางอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะมาพบสวีจือย่วนที่บังเอิญพบกับเย่จิ่งอวี้พอดี แถมยังแต่งตั้งยศตำแหน่งให้บิดาของนางด้วย ลู่จิ้งเสียนยิ่งรู้สึกเกลียดนางแทบจะบ้าตาย
ทันทีที่เย่จิ่งอวี้จากไป นางก็แทบรอไม่ไหวที่จะออกมา
สีหน้าของสวีจือย่วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ถวายพนะพรพระสนมเสียนผิน”
ลู่จิ้งเสียนพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้ด้วยรึว่าข้าเป็นพระสนม ข้าคิดว่าพอเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว เจ้าจะกลายเป็นนกน้อยที่โผบินสู่ที่สูง”
สวีจือย่วนก้าวถอยหลัง “ข้าไม่กล้า”
ลู่จิ้งเสียนแค่นเสียงเหอะ แล้วพูดว่า “แต่ข้าเห็นว่าเจ้ากล้ามาก เมื่อครู่เพิ่งคิดถึงตำแหน่งสนมขั้นผินไม่ใช่รึ เจ้าคงอยากจะขี่หัวข้ามานานแล้ว กล้าหาญมากจริงๆ ชุ่ยจู๋ ตบปากของนาง”
ชุ่ยจู๋ก็ไม่ได้ตบตีใครมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงพับแขนเสื้อขึ้นทันที แล้วตบหน้าสวีจือย่วนอย่างแรง
สวีจือย่วนถูกตบจนทรุดลงกับพื้น หานปิงเข้ามาขวางเจ้านายของตน ยกมือขึ้นตบปากของตัวเอง
“บ่าวพูดมากเกินไป นายหญิงไม่ได้คิดอะไรมาก บ่าวพูดเองทุกอย่าง ถ้าพระสนมจะสั่งสอน ก็มาสั่งสอนบ่าวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ลู่จิ้งเสียนยกเท้าขึ้นถีบทันที พูดอย่างชั่วร้าย “เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดไปได้งั้นรึ วันนี้ข้าจะฉีกปากของเจ้าเป็นชิ้นๆ”
เมื่อนึกถึวตอนที่ตัวเองถูกอินชิงเสวียนตบห้าเสียยับเยิน ลู่จิ้งเสียนก็ยิ่งโกรธจัด นางหยิบทองหรูอี้ที่อยู่ในมือขึ้นมา แล้วฟาดไปที่ศีรษะของสวีจือย่วนทันที
สวีจือย่วนกรีดร้อง และทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมาจากหน้าผากของนาง
หานปิงหวาดกลัวจนตัวสั่น โขกศีรษะศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอความเมตตา แต่ถูกลู่จิ้งเสียนเตะอีกหลายครั้ง
พวกนางถูกทุบตีจนขยับตัวไม่ได้ เมื่อนั้นลู่จิ้งเสียนจึงยอมหยุด
“พวกเจ้าจำไว้ให้ดี ถ้ากล้าไปฟ้องคนอื่น ข้าเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันครั้ง”
หลังจากได้ทุบตีแล้ว ลู่จิ้งเสียนรู้สึกสบายใจ จากนั้นก็ไปที่ตำหนักฉือหนิงโดยจับแขนชุ่ยจู๋พยุงเดิน
สวีจือย่วนกุมศีรษะ ความเกลียดชังในดวงตาของนางแทบจะลุกเป็นไฟ
นางไม่เพียงแต่อยากเป็นสนมขั้นผินเท่านั้น แต่ยังต้องการเป็นเฟย เป็นกุ้ยเฟย เป็นฮองเฮาด้วย
นางจะเหยียบย่ำทุกคนที่ทำกับนางไว้ใต้เท้า รวมถึงอินชิงเสวียนด้วย!
ซึ่งในเวลานี้ อินชิงเสวียนมาถึงตำหนักฉู่เย่ว์แล้ว
ขันทีน้อยรีบเข้าไปรายงานในตำหนักทันที หลังจากนั้นไม่นาน เย่จิ่งหลานก็เดินออกมาพร้อมกับหาวหวอดๆ
เมื่อเห็นทุเรียน เขาก็สดชื่นขึ้นทันที
เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมถวายพระพรพระสนมเหยาเฟย”
อินชิงเสวียนผลิยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ นี่คือทุเรียนและซาลาเปาบางส่วนที่ข้านำมาให้ท่านอ๋อง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในวันนั้น”
เย่จิ่งหลานสั่งให้คนเก็บข้าวของไปทันที แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างที่เจ้าพูด ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก”
“ขอบคุณมาก แต่นี่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขนะ เจ้ายังคงคิดค้างอยู่สองเรื่อง”
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างใจกว้าง พูดว่า “แน่นอน เจ้ามีเรื่องที่คิดออกบ้างหรือยัง”
เย่จิ่งหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็มีเรื่องหนึ่ง ถ้าหากข้าต้องการออกจากวังไปมีจวนของตัวเองตอนนี้ เจ้าพอจะโน้มน้าวใจฝ่าบาทได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้...ข้าจะลองดูก่อน”
เย่จิ่งหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “นี่เป็นเงื่อนไขแรก ส่วนที่เหลือ ไว้ข้าคิดออกแล้วจะบอกนะ”
“ได้ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็อาจจะไม่ได้ผล”
ถึงอย่างไรต้าโจวก็มีกฎ ท่านอ๋องจะสามารถออกไปมีจวนของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อถึงวัยที่กำหนดเท่านั้น เย่จิ่งหลานมีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น ยังดูเด็กอยู่บ้าง
เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างเด็ดขาด “จะต้องให้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกันอีกแล้ว”
อินชิงเสวียนพูดไม่ออก “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพูดรุนแรงขนาดนั้นกระมัง”
เย่จิ่งหลานกล่าวว่า “ชายหญิงแตกต่างกัน สตรีสามารถพึ่งพาบุรุษได้ แต่บุรุษต้องพึ่งพาตนเองได้เท่านั้น”
อินชิงเสวียนร้องชิขึ้นมา แล้วพูดว่า “แล้วสตรีพึ่งพาตนเองไม่ได้หรือ”
เย่จิ่งหลานพ่นควันออกมาพูดว่า “บางทีเจ้าอาจทำได้ แต่สตรีส่วนใหญ่ไม่เหมือนเจ้า”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อินชิงเสวียนก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น
ถามอย่างกึ่งจริงจัง “ทำไมเจ้าถึงอยากออกจากวัง คงไม่คิดจะก่อกบฏกระมัง”
เย่จิ่งหลานหัวเราะพูดว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้าไม่สนใจต้าโจว”
“เช่นนั้นก็ดี หวังว่าเราสองคนจะเดินเส้นทางเดียวกันตลอดไป ไม่ต้องขัดแย้งกันนะ”
“ข้าก็หวังอย่างนั้น”
เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างมีความสุข แต่นัยน์ตาฉายแววชนิดหนึ่งที่ยากจะอ่านความหมายได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...