สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 329

ทันทีที่พูดจบ สวีจือย่วนก็เดินโผล่ออกมาจากตรอกด้านหนึ่ง

อินชิงเสวียนรับตัดบทซูฉ่ายเวยทันที แล้วพูดเบาๆ กลับข้างหลังนาง “วันนี้นายหญิงสวีก็ออกมาเดินเล่นเช่นกันรึ หาได้ยากจริงๆ”

สวีจือย่วนเยื้องกรายมาสองก้าวอย่างงดงาม โค้งคำนับแล้วพูดว่า “หม่อมฉันถวายพระพรพระสนมเหยาเฟย ถวายพระพรพระสนมหลิงเฟย”

เมื่อเห็นนาง ซูฉ่ายเวยก็รู้สึกประดักประเดิด ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ตามสบาย ข้ายังมีงานต้องทำอยู่ ต้องกลับไปก่อนแล้ว”

สวีจือย่วนก้มศีรษะอย่างนอบน้อม

“พระสนมหลิงเฟยกลับดีๆ”

เมื่อซูฉ่ายเวยเดินผ่านนางไป ดวงตาของสวีจือย่วนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กลับมาเป็นปกติในทันที

“ไม่ทราบว่าพระสนมเหยาเฟยกำลังจะไปที่ใด ต้องการให้หม่อมฉันไปด้วยหรือไม่”

นางเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงประหม่า

ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็นึกถึงภาพตอนที่นางซบอยู่บนตักของเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ รู้สึกไม่พอใจทันทั

พูดอย่างเย็นชา “ข้าแค่มาเดินเล่นเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องตามมา”

นางโบกมือให้อวิ๋นฉ่ายกับเสี่ยวอานจื่อ แล้วพวกเขาก็เข็นรถเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงมาทันที

เมื่อมองไปที่เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น จู่ๆ สวีจือย่วนก็หันกลับมา และพูดกับอินชิงเสวียน “ตั้งแต่หม่อมฉันเข้ามาในวัง ก็เป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าฝ่าบาทจะพูดอะไร หม่อมฉันก็จะไม่ออกจากวัง อีกอย่างราชวงศ์ควรเห็นเรื่องทายาทเป็นเรื่องสำคัญ ฝ่าบาทควรพระราชทานความเมตตาอย่างทั่วถึง เพื่อให้นายหญิงในวังหลังได้มีลูกหลานให้กับราชวงศ์”

อินชิงเสวียนหยุดชะงัก เดินไปหาสวีจือย่วนอย่างช้าๆ แล้วพูดประชด “เจ้าเปลี่ยนไปเร็วมากจริงๆ เมื่อวานยังรักคนผู้หนึ่งจนจะเป็นจะตาย แต่วันนี้กลับเบนความสนใจไปหาฝ่าบาท แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะใจสลายเพราะใครอีก”

สวีจือย่วนกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “พระสนมพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ในเมื่อตอนนี้หม่อมฉันเข้าวังมาแล้ว ไม่ควรสนใจฝ่าบาทหรอกหรือ”

อินชิงเสวียนยิ้มแดกดัน พูดว่า “เจ้ากับข้าต่างก็รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของกันและกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดคำที่ฟังดูสูงส่งเหล่านี้ ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เจ้าจะรักใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย อยากได้ผู้ชายก็ใช้ความสามารถของเจ้าแย่งไป ไม่จำเป็นต้องมาทำตัวแปลกๆ อยู่ตรงนี้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยช่วยเพราะพี่ใหญ่ของข้า ตอนนี้ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป หากเจ้ากล้าคิดชั่วกับตำหนักจินหวู ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง

สถานการณ์ในวันนี้ ไม่เหมือนวันนั้น

แม้ว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลัง แต่นางก็มีจุดยืนเป็นของตัวเองเช่นกัน

หัวใจของนางใหญ่เท่ากำปั้น สิ่งที่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้ก็มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นฉ่าย ยายหลี่ หรือเสี่ยวอานจื่อ พวกเขาคือคนที่นางต้องการปกป้อง และเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของนาง หากใครกล้าแต่ต้อง ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย

ส่วนเรื่องอื่น นางไม่อยากไปกังวลให้เปลืองสมอง

แม้ว่านางจะยอมรับว่าตัวเองชอบเย่‍จิ่ง‍อวี้ แต่ก็ยังไม่กล้ามอบให้ทั้งหมดของหัวใจ

หากเย่‍จิ่ง‍อวี้เต็มใจที่จะอยู่กับนางไปตลอดชีวิต นางจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สมกับความสัมพันธ์นี้ หากโชคไม่ดีเขาไปตกหลุมรักสตรีอื่น นางก็จะออกจากวังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้ ซึ่งสถานะนี้ได้กำหนดให้ความสัมพันธ์ด้านความรักไม่สามารถสงบสุขได้

เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าเจ้านายของนางไม่มีความสุข อวิ๋นฉ่ายจึงพูดกับเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงทันที “องค์ชายน้อย เรียกเสด็จแม่เร็วเพคะ!”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเงยหน้าเล็กๆ ของเขาทันที มองไปที่อินชิงเสวียน แล้วอ้าปากกระจิริดร้องตะโกน “แม่แม่~”

เสียงใสๆ ของเด็กได้ขจัดความเศร้าโศกในใจของอินชิงเสวียนทันที นางก้มลงจูบใบหน้าเล็กกลมๆ ดวงนั้นทันที

“เด็กดี แม่ไม่เป็นไร”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงหันหน้ามาทันที ทำปากยื่นเลียนแบบอินชิงเสวียน และจูบแก้มของนาง

ปากเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มทำให้หัวใจของอินชิงเสวียนอ่อนระทวย นางอดไม่ได้ที่จะอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงขึ้นมาจากรถเข็น

“รู้จักหอมแก้มแม่แล้ว เก่งจริงๆ”

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงดูเหมือนจะเข้าใจคำชมนั้น ดวงตาสุกใสดั่งดวงดาราหรี่โค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว พูดเลียนแบบคำพูดของอินชิงเสวียนว่า “เก่งเก่ง~”

อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนเก่งตัวน้อยของแม่”

สวีจือย่วนที่อยู่ไกลๆ ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของนางยังคงจ้องมองยังอินชิงเสวียน

หานปิอดไม่ได้ที่จะดึงนางไป

“นายหญิง เราไปกันเถอะ จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

หลี่เต๋อฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมก็วางใจได้ กระหม่อมได้ส่งคนไปแจ้งห้องเครื่องต้นไว้ เพื่อเตรียมงานเลี้ยงในวังในวันพรุ่งนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ส่งเสียงอืมตอบรับ “เรื่องพวกนี้เจ้าจัดการไปได้เลย”

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เน้นไปที่งานเลี้ยงในวัง เมื่อนึกถึงพรุ่งนี้ เขาก็กระตุกริมฝีปากขึ้น

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเรียกเบาๆ จากด้านหลัง “ฝ่าบาท!”

พอเย่‍จิ่ง‍อวี้หันกลับมา ก็เห็นสวีจือย่วนในสีหน้ายินดีทันที

นางก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว

“หม่อมฉันกำลังจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ห้องหนังสือพอดี แต่บังเอิญมาพบที่นี่ก่อน ฝ่าบาทอาการดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”

“ข้าสบายดี เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”

เสียงของเย่‍จิ่ง‍อวี้สงบราบเรียบ ทว่าแววตากลับมีความแปลกแยก

สวีจือย่วนสังเกตเห็นได้โดยพลัน นางไม่ได้ที่จะบีบผ้าเช็ดหน้าจนแน่น

นางพูดเสียงหวาน “หม่มฉันแค่อยากมาพบฝ่าบาท”

“เมื่อได้พบแล้วก็กลับไปเถอะ ข้ายังมีฎีกาให้ตรวจสอบอีก”

วันนั้นทำให้อินชิงเสวียนเข้าใจผิดไปแล้ว เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่อยากให้ทั้งสองต้องทะเลาะกันอีก

แม้ว่าเขาจะติดค้างสวีจือย่วน แต่เขาก็สามารถชดเชยด้วยอย่างอื่นได้

เย่‍จิ่ง‍อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับสวีจือย่วนว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการซูฮ่วนเสียชีวิตที่บ้าน ตอนนี้มีตำแหน่งว่างพอดี ข้าได้ยินมาว่าบิดาของเจ้าเป็นคนเคร่งครัดและเคารพกฎหมายมาก ทั้งยังมีความสามารถ จึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้พอดี”

สวีจือย่วนสีหน้ามีความสุขมาก พ่อของนางอยู่ในตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ แต่ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นสาม นางจึงรีบโค้งคำนับกล่าวขอบคุณทันที

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเบาๆ “ตามสบาย ข้าจะไปร่างราชโองการเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์