วันถัดมา
ขุนนางทุกคนมาประชุมเช้า แล้วต่างคนก็ต่างถวายฎีกา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิม ทำให้เย่จิ่งอวี้ที่ฟังอยู่ก็รู้สึกง่วงนอน
หลังจากวันนั้นที่กวนเมิ่งถิงพูดถึงตระกูลอินแล้ว ก็ดูเหมือนเขาจะเงียบเหมือนเป็นใบ้ไปอีก
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขา พลางคิดว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้อดทนเก่งจริงๆ
เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว ขุนนางทุกคนก็เริ่มปิดปากเงียบ
เย่จิ่งอวี้จับเศียรมังกร และลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร
“พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อน ดอกไม้ในสวนบุปผาหลวงกำลังบานสะพรั่งพอดี ข้าเองก็เตรียมจัดงานเลี้ยงในวัง ขึงขอเชิญขุนนางทุกท่านมาเพลิดเพลินกับบุปผา”
ขุนนางทุกคนต่างแสดงสีหน้ายินดีทันที คุกเข่าโขกศีรษะว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วพูดเบาๆ “ทุกท่านลุกขึ้นเถิด หากไม่มีฎีกาถวายแล้ว ก็เลิกประชุมได้ พรุ่งนี้ในยามโหย่ว (17.00น.-19.00น.) เรียนเชิญทุกท่านเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย”
“พวกกระหม่อมจะเข้าวังมาให้ตรงเวลา ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางต่างทยอยออกจากตำหนักจินหลวน กวนเมิ่งถิงเลิกคิ้วขึ้นสูง คิดในใจว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะลอบเข้าวัง เขาควรแจ้งอาซือหลานโดยด่วน...
เย่จิ่งอวี้ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนที่ก้าวลงจากบัลลังก์มังกร
หากคนผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับอาซือหลาน บางทีคืนพรุ่งนี้อาจเป็นโอกาสของเขา
เมื่อนั่งเกี้ยวพระที่นั่งมังกรไปยังห้องหนังสือ เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บบาดแผลอีก และลมปราณที่มองไม่เห็นในร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
เย่จิ่งอวี้อดไม่วายประหลาดใจ มีความเป็นไปได้มากว่าอาจเป็นเพราะน้ำที่เขาแช่อยู่
แต่อินชิงเสวียนไม่พูด เขาจึงถามมากไม่ได้
ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองผ่อนคลายลงมาก อย่างน้อยนางก็ยอมให้เขาอยู่ในตำหนักจินหวู นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย เย่จิ่งอวี้ไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เพราะความสงสัยที่ไม่จำเป็นจริงๆ
เขาไม่รู้เลยว่าน้ำที่เขาดื่มในช่วงสองวันที่ผ่านมา ก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำพุวิญญาณเช่นกัน
เดิมทีเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ยังได้รับการชำระวิญญาณล้างไขกระดูกด้วยน้ำพุวิญญาณด้วย จึงได้พัฒนาความแข็งแกร่งภายในโดยกำเนิด ทำให้เขาได้พัฒนาไปถึงระดับที่สูงขึ้นของวรยุทธ์แล้ว
เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกได้เช่นกัน แต่ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้
แต่ไม่รู้ว่าตัวเองในตอนนี้จะสามารถเอาชนะคนประหลาดผมขาวคนนั้นได้หรือไม่
เขาส่งคนไปติดตามข่าวเกี่ยวกับคนประหลาดผมขาวผู้นั้น แต่ก็ไร้วี่แวว ดูเหมือนว่าคงได้แค่รอให้เขากลับเข้าวังอีกครั้ง
เย่จิ่งอวี้มีลางสังหรณ์ว่าเขาจะต้องมาแน่นอน!
เมื่อนึกถึงคืนนั้น เรียวตาหงส์คู่หนึ่งก็มืดมนลงทันที
บางทีอาจถึงเวลาต้องไปที่ตำหนักฉงหวู่เพื่อยืนยันก่อน
หลังจากถอดมาลามงกุฎแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็สั่งว่า “ไปเอาชุดฝึกยุทธ์ของข้ามา”
“ฮะ? ฝ่าบาทจะไปที่ตำหนักฉงหวู่หรือ ไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่เต๋อฝูหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เกรงว่าเย่จิ่งอวี้จะทำให้บาดแผลปริแตกอีก
“พูดมาก”
เย่จิ่งอวี้ตวัดหางตามองหลี่เต๋อฝู แล้วหลี่เต๋อฝูก็หุบปากลงทันที
ที่ประตูทางเข้าตำหนักฉงหวู่ ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็จำครั้งแรกที่เขาได้พบกับอินชิงเสวียนได้
เมื่อนึกถึงตอนที่นางถูกเขาโยนจนล้มหน้าหงาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงมีความทรงจำตอนที่อินชิงเสวียนสวมชุดขันทีได้ลึกซึ้งเป็นพิเศษ
หลังจากยืนกลางถนน หวนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็เดินเข้าไปในตำหนักฉงหวู่
ส่วนอินชิงเสวียนกำลังเดินทางไปที่ตำหนักฉู่เย่ว์
เย่จิ่งหลานช่วยนางในการช่วยชีวิตกวนฮั่นหลิน ยังไม่ได้ไปกล่าวขอบคุณเลย เป็นคนต้องรู้จักมีมารยาท จู่ๆ นางก็จามขึ้นมาครั้งหนึ่ง
อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คงเป็นฝ่าบาทที่คิดถึงพระสนมอีกแล้ว”
อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดดุ “ให้ตายเถอะ เจ้ารู้อีกแล้ว”
ซูฉ่ายเวยเหลือบมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง แล้วพูดกับอินชิงเสวียนว่า “เชิญพระสนมมาพูดคุยทางด้านน้สักครู่ได้หรือไม่”
ที่แท้ก็มาหาตัวเอง
อินชิงเสวียนให้อวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อไปรอนางอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงถามด้วยรอยยิ้ม “พระสนมหลิงเฟยมาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ”
ซูฉ่ายเวยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ผ้าอนามัยของพระสนมใช้ดีมาก นายหญิงหลายคนชอบกันมาก ไม่ทราบว่าพระสนมยังมีอีกหรือไม่”
ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนนางลืมเรื่องการค้าไปเลย
เมื่อเทียบกับเบี้ยรายเดือนเล็กน้อยเหล่านั้นแล้ว การหาเงินวิธีนี้สะดวกกว่ามาก ถ้าอินจ้งกลับมาที่เมืองหลวง ยังต้องมีเงินเก็บไว้ใช้จัดการเรื่องต่างๆ ด้วย
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มที่สดใส “แน่นอนว่ายังมีอยู่ เดี๋ยวสายๆ ข้าจะไปที่หอฉงฮวา ไปส่งให้เจ้า”
“พระสนมเหยาเฟยสูงเกียรติ จะไม่เกรงใจได้อย่างไร”
ซูฉ่ายเวยหัวเราะ แล้วถามอีกครั้ง “แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ขอราคา...ถูกกว่านี้อีกหน่อยได้หรือไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของซูฉ่ายเวยแล้ว อินชิงเสวียนก็เข้าใจทันทีว่านางหมายถึงอะไร
“พระสนมหลิงเฟยอยาก...หาเงินสักหน่อยหรือ”
ทันใดนั้นความคิดของพระสนมหลิงเฟยก็ถูกเปิดเผย ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่นางไม่ได้ปิดบัง
นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ท่านพ่อของข้าเสียชีวิต สถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวข้าลดลงอย่างมาก ถ้าข้ามีเงินมากกว่านี้ คงจะช่วยจุนเจือครอบครัวได้”
แม้ว่าอินชิงเสวียนจะเคยทะเลาะกับซูฉ่ายเวยตอนที่นางเป็นขันที แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต ตอนนี้เมื่อเห็นความห่วงใยครอบครัวของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย ครั้งหนึ่ง ซูฉ่ายเวยใช้เงินเหมือนน้ำ แต่ตอนนี้กลับต้องมากังวลกับเงินทุกตำลึง
เอาเถอะ เห็นแก่ที่นางจ่ายเงินไปมาก ให้ผลประโยชน์แก่นางหน่อยก็แล้วกัน ถือเป็นการทำเรื่องดีก็แล้วกัน
จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจะขายให้เงินแผ่นละสามตำลึง ที่เหลือเจ้าก็ไปคำนวณราคาเอง เมื่อไหร่ที่ขายได้ถึงหนึ่งร้อยตำลึง ค่อยส่งเงินให้ข้าก็ได้”
ซูฉ่ายเวยยิ้มแย้มด้วยความยินดีทันที เมื่อก่อนขายแผ่นละสิบตำลึง เช่นนั้นตอนนี้นางก็สามารถได้กำไรเจ็ดตำลึง จึงโค้งคำนับทันทีและพูดว่า “ขอบคุณพระสนมเหยาเฟย”
อินชิงเสวียนดึงนางขึ้นมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากับข้าเปรียบเสมือนพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจ”
ซูฉ่ายเวยมองอินชิงเสวียนด้วยความซาบซึ้งใจ ทันใดนั้นก็กระซิบ “เจ้าต้องระวังสวีจือย่วนไว้ให้ดี...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...